Skip to content

อัปสกิลเขียนตอบสอบ IELTS Writing

โดย Kru Kong

IELTS WRITING

ข้อสอบ IELTS เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษในระดับวิชาการที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันการศึกษาทั่วโลก ข้อสอบจะวัดระดับภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการของผู้เข้าสอบ โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ทักษะ ได้แก่ การฟัง (Listening) การพูด (Speaking) การอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) โดยทักษะที่ถือว่าปราบเซียนมากที่สุดคือ การเขียน หรือ Writing นั่นเอง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 Tasks : Task 1 เขียนอธิบายกราฟต่าง ๆ และ Task 2 เขียนเรียงความเชิงแสดงความคิดเห็น การจะทำข้อสอบให้ได้คะแนนที่สูง ผู้เข้าสอบจะต้องเข้าใจในสิ่งกรรมการต้องการ ดังนี้

1. การใช้ภาษาระดับ Academic English

ในข้อสอบ IELTS ส่วนทักษะการเขียน (Writing) เป็นข้อสอบที่สะท้อนถึงทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการในการเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ดังนั้นสิ่งที่ผู้เข้าสอบจะต้องแสดงให้กรรมการเห็นคือการใช้ภาษาอังกฤษในระดับสูงให้ได้ ซึ่งการเขียนในระดับนี้จะต่างจากการเขียนทั่วไปทั้งในด้าน การใช้คำศัพท์โดยจะต้องปรับให้เป็นคำศัพท์เชิงวิชาการมากขึ้น เช่น buy เปลี่ยนเป็น purchase, get เปลี่ยนเป็น obtain, happen เปลี่ยนเป็น occur เป็นต้น

2. การตอบโจทย์ที่ให้ตรงกับคำถาม

ในการเขียนระดับที่สูงขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การเขียนตอบให้ตรงประเด็น ตอบในสิ่งที่กรรมการอยากทราบ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เขียนอยากเขียน สำหรับ Task 1 โจทย์ต้องการเพียงให้ผู้เข้าสอบเขียนอธิบายรูปภาพ กราฟ แผนผังต่างๆ ที่แสดงอยู่ในข้อสอบออกมาโดยใช้ภาษาเชิงวิชาการ นั่นหมายความว่าความคิดเห็น การคำนวณ การคาดเดาต่างๆ นอกเหนือจากที่แสดงอยู่บนรูปภาพนั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการเพิ่มคะแนน ในทางกลับกัน สำหรับ Task 2 เป็นเรียงความที่ผู้เขียนจะต้องเขียนแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเป็นระบบ ดังนั้นการตอบตามสิ่งที่ผู้เขียนคิดจึงไม่มีคำว่าผิดหรือถูก ขอเพียงแค่เขียนตอบให้ตรงคำถามก็พอ เช่น หากโจทย์ที่ได้รับ คือ To what extent do you agree with this statement? ซึ่งแปลได้ว่า คุณเห็นด้วยกับข้อความข้างต้นหรือไม่อย่างไร? ให้ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นพร้อมให้เหตุผลประกอบด้วยว่า เพราะเหตุใดจึงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย สิ่งที่นอกเหนือจากคำตอบเหล่านี้ถือว่าไม่จำเป็นต่อการเขียน

3. บริหารเวลาให้ทัน

เนื่องจากข้อสอบในส่วนของการเขียน (Writing) มีเวลาให้เพียง 1 ชั่วโมง แต่มีโจทย์ให้ทำถึง 2 ข้อ ดังนั้นการบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมจึงสำคัญมาก โดยแนะนำให้ทำ Task 1 เพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น เนื่องจากสัดส่วนคะแนนคิดเป็นเพียงแค่ 30-% ของคะแนนทั้งหมด ดังนั้นการลงทุนเวลาเขียนมากเกินจำเป็น จึงไม่คุ้มค่า ดังนั้น ถึงแม้ผู้เขียนจะยังทำโจทย์ task 1 ไม่เสร็จ ขอแนะนำให้ข้ามไปขึ้นโจทย์ task 2 ได้เลยเนื่องจากสัดส่วนคะแนนอีก 70% จะอยู่ที่ข้อหลัง

4. แบ่งเวลาระดมสมอง (Brainstorm) ก่อนลงมือเขียนเสมอ

ในทุกๆงานเขียน หากอยากให้ออกมาเป็นงานที่มีคุณภาพ การแบ่งเวลาอย่างน้อย 10% ของเวลาทั้งหมดที่มี เพื่อทำการวางแผนไอเดีย คิดลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง ว่าจะสื่อสารอะไรออกไปบ้าง จะทำให้งานเขียนมีคุณภาพมากขึ้น อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คะแนนของผู้เข้าสอบสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน สำหรับ Task 1 เนื่องจากมีเวลาเขียนเพียง 20 นาที แนะนำให้ ทำการวางแผนอยู่ที่ 2-3 นาที และสำหรับ Task 2 แนะนำอยู่ที่ 5 นาที

5. ใช้คำศัพท์ให้หลากหลายที่สุด

ในการจะแสดงให้กรรมการผู้ตรวจเห็นว่าทักษะทางภาษาอังกฤษของผู้เข้าสอบนั้นอยู่ในระดับที่สูง ทักษะการใช้คำให้หลากหลายเป็นอีกส่วนที่สำคัญมาก กล่าวคือ การรู้คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน (synonyms) จะสามารถเพิ่มคะแนนให้ผู้เข้าสอบได้ เช่น คำว่า join มีคำความหมายคล้ายกัน ได้แก่ link, attach, connect เป็นต้น โดยผู้เข้าสอบจะต้องสลับใช้คำต่างๆให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

6. ใช้โครงสร้างประโยคให้หลากหลายมากขึ้น

เช่นเดียวกับเรื่องคำศัพท์ การที่ผู้เข้าสอบสามารถเขียนโครงสร้างทางภาษาอังกฤษได้หลากหลายนั้นแสดงถึงทักษะทางการใช้ภาษาที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนเกินไป แต่ขอให้เป็นโครงสร้างที่หลากหลายแต่ละสละสลวย ยกตัวอย่างใน task 1 เช่น การอธิบายความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ สามารถเขียนได้หลายแบบ เช่น

There was a sharp increase in beef consumption in 2007.

สามารถเขียนโดยใช้โครงสร้างอื่นได้ว่า
Beef consumption was increased sharply in 2007. หรือ
2007 witnessed a sharp increase in beef consumption.

ยิ่งเขียนได้หลากหลายโครงสร้าง ยิ่งแสดงถึงทักษะทางภาษาที่ดี ทำให้สามารถพิชิตคะแนน band สูงๆ ได้ไม่ยาก

7. อย่าลืมเช็ก Tense

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการเขียน การใช้ tense มักจะเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนกังวลใจ ในความเป็นจริง การเขียนตอบข้อสอบ IELTS ไม่จำเป็นต้องใช้ tense ที่ซับซ้อนอะไรมากมาย โดยมากแล้วการเขียนอธิบายกราฟใน task 1 จะใช้ tense ตามรูปภาพที่โจทย์ให้มากซึ่งเป็นได้ทั้ง past and future ดังนั้นคำศัพท์ที่ใช้อธิบายจึงควรปรับให้ถูกตามเวลาของกราฟด้วย เช่น increase > increased , rise > rose เป็นต้น ในส่วนของ task 2 เนื่องจากโจทย์ไม่ได้ต้องการให้เราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น tense ที่ควรใช้จึงเป็น present simple (v.1) ธรรมดา ๆ นี่เอง เพื่อหลีกเลี่ยงความกำกวม ควรเลี่ยงการใช้ tense ที่ซับซ้อน เช่น present perfect continuous และอื่นๆ

8. ปรับภาษาให้มีความ British

เนื่องจากข้อสอบ IELTS เป็นข้อสอบวัดระดับจากที่ร่วมก่อตั้งโดย the British Council, IDP: IELTS Australia and Cambridge Assessment English ภาษาอังกฤษที่ใช้จึงมักจะเป็น British English การปรับรูปแบบโครงสร้างประโยคให้เป็น Passive Voice ก็สามารถเพิ่มความน่าสนใจและความเป็นทางการให้กับงานเขียนได้ เช่น

A car hit the dog yesterday.
เปลี่ยนเป็น The dog was hit by a car yesterday.

9. เล่าให้เป็นระบบ ต้องเล่าแบบ 1 idea 1 paragraph

หลาย ๆ คนมักสงสัยว่าการเขียนเรียงความให้เข้าใจง่าย หรือเป็นระบบนั้นต้องทำอย่างไร นอกเหนือจากการวางแผนก่อนเขียนที่ดีแล้ว ผู้เข้าสอบจะต้องมีหลักการเขียนในใจว่า เมื่อเขียนเล่าเรื่องใด ๆ ก็ตามให้ยึดหลักการ 1 ใจความต่อ 1 ย่อหน้าเสมอ ซึ่งคือการแบ่งแยกหัวข้อที่อยากจะสื่อสารออกไปให้ชัดเจน ไม่นำมาเขียนปนกัน เมื่ออยากจะเปลี่ยนหัวข้อย่อยจึงขึ้นย่อหน้าใหม่ ทำให้ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น ติดตามเรื่องราวในเรียงความได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนการเรียบเรียงใจความนั้นสูงขึ้นได้

10. เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ต้องตรวจทาน (Review) เสมอ

เช่นเดียวกับการวางแผนก่อนลงมือเขียน หลังจากเขียนเสร็จแล้ว การลงมือตรวจสิ่งที่ได้เขียนไปนั้นก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้คะแนนสูงขึ้น โดยการตรวจสามารถทำได้ 2 แบบคร่าว ๆ คือ

  1. การตรวจความผิดพลาดทางภาษา (errors) โดยตรวจสอบให้ดีว่าใช้ไวยากรณ์ถูกต้องตามหลักภาษาหรือไม่ ทั้งการผันรูปคำกริยา การสะกดคำ การวางเครื่องหมายต่างๆ เช่น เครื่องหมายจุลภาค (comma) เป็นต้น และ
  2. การตรวจความถูกต้องของเนื้อหา กล่าวคือ ต้องเข้าใจง่าย เป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่เขียนหัวข้อที่เขียนไปแล้วซ้ำ และไม่เขียนออกนอกประเด็น

ทั้งหมดนี้ผู้สอบจำเป็นจะต้องแบ่งเวลา 5 นาทีสุดท้ายมาตรวจด้วยตนเองก่อนส่งเสมอ ในหลายครั้ง จากคะแนน 5.5 ก็สามารถเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 6.0 เพียงแค่ตรวจคำสะกดผิดและการสะกดคำต่าง ๆ ให้สมบูรณ์

Share this article