Skip to content

สรุปเนื้อหาโครงสร้างเซลล์ หัวข้อสำคัญในข้อสอบ GED Science วิชาชีววิทยา

สรุปเนื้อหาโครงสร้างเซลล์ หัวข้อข้อสอบ GED Science

น้อง ๆ ที่เตรียมตัวไปสอบ GED Science และกำลังศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาโครงสร้างเซลล์ที่เป็นเนื้อหาหลักของข้อสอบในหมวดชีววิทยา หรือ Life Science ในข้อสอบ GED ห้ามพลาดบทความนี้เลย เพราะพี่กริฟฟินจะพาน้อง ๆ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหัวข้อ “โครงสร้างเซลล์” กันแบบเจาะลึก แต่ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับเซลล์ ก็จะขอเกริ่นคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องของ “ชีววิทยา” กันก่อน

ชีววิทยา คืออะไร ?

ชีววิทยา คือศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ที่เจาะลึกไปที่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้าง การเจริญพันธุ์ การสืบพันธุ์ วิวัฒนาการ กระบวนการทำงาน และกระบวนการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอย่างละเอียด โดยคำว่าชีววิทยาหรือ Biology นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ได้แก่คำว่า “Bios” แปลว่า “สิ่งมีชีวิต” และ “Logos” ที่หมายถึง “การศึกษาค้นคว้า” เมื่อรวมกันจึงหมายถึง “การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต” นั่นเอง

แต่สำหรับในข้อสอบ GED Science ในหัวข้อชีววิทยาจะไม่ได้ใช้ศัพท์คำว่า “Biology” แต่เลือกใช้คำว่า “Life Science” หรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกันและจะมีหัวข้อการสอบตั้งแต่เรื่องเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์, การถ่ายทอดทางพันธุกรรมและการวิวัฒนาการ ตลอดจนสุขภาพและโภชนาการอาหารอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีหัวข้อสำคัญอย่างเรื่องของเซลล์ โครงสร้างเซลล์ กระบวนการและหน้าที่ของเซลล์ที่เป็นจุดตั้งต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอีกด้วย

เซลล์ คืออะไร ?

Cell หรือ เซลล์ คือหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างและหน่วยทำงานของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยสิ่งมีชีวิตบางชนิดก็จัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น แบคทีเรีย, อะมีบา, พารามีเซียม เป็นต้น ในขณะที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อย่างพืชและสัตว์จะจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ประกอบขึ้นจากเซลล์จำนวนมากรวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ซึ่งเซลล์แต่ละตัวก็จะมีขนาด รูปร่าง และหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่เบื้องต้นแล้วเซลล์ทุกชนิดจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเหมือนกัน

ทำความเข้าใจโครงสร้างเซลล์ทั้ง 3 ส่วน

เซลล์ทุกชนิดจะประกอบไปด้วยโครงสร้างเซลล์พื้นฐานทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์, ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus) มีรายละเอียด ดังนี้

1. ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์

สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ผนังเซลล์ และเยื่อหุ้มเซลล์

ผนังเซลล์ (Cell Wall) พบในเซลล์พืช, ฟังไจ (เห็ดรา) และแบคทีเรียบางชนิด แต่จะไม่พบในเซลล์สัตว์ ทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงและคงรูปร่างของเซลล์ โดยจะมีทั้งหมด 2 ชั้น ได้แก่ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ (Primary Cell Wall) ก่อขึ้นหลังเซลล์หยุดการขยายตัวทำหน้าที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง และผนังเซลล์ทุติยภูมิ (Secondary Cell Wall) จะเกิดภายหลังผนังเซลล์ปฐมภูมิ ทำหน้าที่คั่นระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์ปฐมภูมิ

สารสำคัญในผนังเซลล์ของพืชและสาหร่ายหลัก ๆ แล้วจะเป็น เซลลูโลส (Cellulose) และอาจมีลิกนิน (Lignin) ประกอบอยู่ด้วย นอกจากนี้ระหว่างเซลล์พืชจะมีชั้นเชื่อมระหว่างเซลล์เรียกว่า Middle lamella (เกิดขณะมีกระบวนการแบ่งเซลล์) ซึ่งจะมีแพคติน (Pectin) บรรจุอยู่เพื่อช่วยยึดเซลล์ให้ติดกัน และระหว่างเซลล์พืชสองเซลล์ก็มีช่องเล็กเปิดสู่เซลล์ที่ติดกัน เรียกว่า Plasmodesmata

ส่วนสารสำคัญที่พบในผนังเซลล์ในแบคทีเรียและไซยาโนแบคทีเรีย (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) จะประกอบด้วยสารพวก Peptidoglycan เป็นหลัก และในฟังไจมักพบสารคาร์โบไฮเดรตหรือไคทิน (Chitin)

เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Plasma Membrane) พบในเซลล์ทุกชนิด เป็นเยื่อบาง ๆ ที่ห่อหุ้มเซลล์ มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน (Semipermeable Membrane) ที่ทำหน้าควบคุมการเข้า-ออกของสารและรักษาความสมดุลของเซลล์ โดยจะมีโครงสร้างแบบ Fluid Mosaic Model ประกอบไปด้วย

  • Phospholipid Bilayer หรือไขมันฟอสโฟลิพิดสองชั้นที่ไหลไปมาได้ โดยจะหันส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ชนกันอยู่ด้านในและหันส่วนที่ชอบน้ำ (Hydrophilic) ออกข้างนอก
  • Cholesterol หรือคลอเรสเตอรอล (ไขมัน) ทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่น
  • Protein หรือโปรตีน ทำหน้าที่เป็นช่องทางลำเลียงสารเข้าออกเซลล์ ทำให้เซลล์เกาะติดกันได้
  • Carbohydrate ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเซลล์ โดยหากจับคู่กับไขมันจะเรียกว่าไกลโคลิปิด (Glycolipid) แต่หากจับคู่กับโปรตีนจะเรียกว่าไกลโคโปรตีน (Glycoprotein)

ซึ่งสำหรับเซลล์สัตว์ที่ไม่มีผนังเซลล์จะมีสารเคลือบล้อมรอบเยื่อหุ้มเซลล์ ได้แก่ คอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) และไกลโคโปรตีน (Glycoprotien) โดยการเชื่อม (Junctions) ของเซลล์สัตว์จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ Tight junctions, Desmosomes หรือ Anchoring junctions และ Gap junctions (คล้ายกับ Plasmodesmata ของพืช)

2. ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm)

แบ่งออกเป็น ไซโทซอล (Cytosol) และออร์แกเนลล์ (Organelles)

ไซโทซอล (Cytosol) คือของเหลวภายในเซลล์ที่มีลักษณะคล้ายเจล ซึ่งเป็นที่อยู่ของออร์แกเนลและสารต่าง ๆ เช่น ไขมัน, โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต

ออร์แกเนลล์ (Organelles) คือโครงสร้างขนาดเล็กภายในเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ โดยเราสรุปข้อมูลมาให้แล้วดังนี้

ประเภทออร์แกเนลล์

ชื่อออร์แกเนลล์

โครงสร้างและลักษณะสำคัญ

หน้าที่หลัก

การพบในเซลล์

1. ออร์แกเนลล์ไม่มีเยื่อหุ้ม

ไรโบโซม (Ribosome)

ประกอบด้วยหน่วยย่อย 2 หน่วย, มี RNA และโปรตีนต่างกัน

สังเคราะห์โปรตีน ส่งไปใช้ในเซลล์หรือลงนอกเซลล์

Cytosol, บน RER, ในนิวเคลียส, Mitochondria, Chloroplast

ไซโทสเกเลตัน (Cytoskeleton)

มี 3 ชนิด: ไมโครทูบูล, อินเตอร์มีเดียทฟิลาเมนต์, ไมโครฟิลาเมนท์

รักษารูปร่างเซลล์, ยึดเกาะออร์แกเนลล์, ช่วยเคลื่อนไหว

ทั่วเซลล์

เซนทริโอล (Centriole)

ประกอบด้วย Microtubule 9 กลุ่ม วางตั้งฉาก 2 อันเป็น Centrosome

สร้างเส้นใยสปินเดิลเพื่อช่วยแบ่งโครโมโซมในเซลล์สัตว์

เซลล์สัตว์และโปรโตซัวบางชนิด

2. ออร์แกเนลล์มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว

Endoplasmic Reticulum (ER)

ท่อแบนมีลูเมน, แบ่งเป็น RER (มีไรโบโซม) และ SER (เรียบไม่มีไรโบโซม)

RER: สังเคราะห์โปรตีน

SER: สังเคราะห์ไขมัน, สลายสารพิษ

ทั่วไซโทพลาสซึม

กอลจิ (Golgi apparatus)

ถุงแบนเรียงซ้อนกัน มีขอบโป่งพอง

ปรับแต่งและส่งออกสาร เช่น โปรตีน, เอนไซม์, สารสร้างผนังเซลล์

ทั่วไซโทพลาสซึม

ไลโซโซม (Lysosome)

ถุงกลม บรรจุเอนไซม์ย่อยสาร

ย่อยอาหาร, เชื้อโรค, ออร์แกเนลล์เก่า, เซลล์ตัวเอง

เซลล์สัตว์

เพอร์ออกซิโซม (Peroxisome)

ถุงรูปไข่ บรรจุเอนไซม์ Catalase

สลายสารพิษโดยเฉพาะ H2O2

เซลล์สัตว์และพืช

แวคิวโอล (Vacuole)

ถุงใหญ่ บรรจุสารต่าง ๆ

เก็บน้ำและสารอื่น, ควบคุมความดันในเซลล์

พืชและสัตว์

3. ออร์แกเนลล์มีเยื่อหุ้มสองชั้น

ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria)

เยื่อในเป็น Cristae มี Matrix บรรจุเอนไซม์

สร้างพลังงาน (ATP) แหล่งพลังงานของเซลล์

พืชและสัตว์

พลาสติด (Plastids)

มีหลายชนิด: คลอโรพลาสต์ (สีเขียว), โครโมพลาสต์ (สีอื่น), ลิวโคพลาสต์ (ไม่มีสี)

คลอโรพลาสต์: สังเคราะห์ด้วยแสง

โครโมพลาสต์: สร้างเม็ดสีดึงดูดแมลง

ลิวโคพลาสต์: สะสมแป้ง

เซลล์พืช

 

3. นิวเคลียส (Nucleus)

เป็นส่วนที่มีสารพันธุกรรมอยู่ มีหน้าที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิตและเมแทบอลิซึมที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้

 เยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane/Nuclear Envelope): มีลักษณะเป็นเยื่อหุ้มสองชั้น มีหน้าที่ห่อหุ้มสารพันธุกรรมและควบคุมการเข้า-ออกของสาร โดยระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและชั้นในจะมีช่องว่าง Perinuclear Space มีช่อง Nuclear Pore ให้สารผ่านเข้า-ออกกระจายอยู่ และมีไรโบโซมเกาะอยู่รอบนอกอีกที

 นิวคลีโอลัส (Nucleolus): เป็นก้อนอยู่ในนิวเคลียสมีหน้าที่สังเคราะห์ไรโบโซม จะสลายไปเมื่อเกิดการแบ่งเซลล์และสร้างขึ้นใหม่เมื่อแบ่งเซลล์เสร็จ

 นิวคลีโอพลาสซึม (Nucleoplasm): คือบริเวณที่เหลือภายในเยื่อหุ้มนิวเคลียส ประกอบไปด้วยสารจำพวกเอนไซม์ที่ใช้สังเคราะห์ RNA, DNA และ Coenzyme

สารพันธุกรรม (DNA) มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ จับอยู่กับโปรตีนโดยขดเป็นเส้นใยโครมาทิน (Chromatin) และจะขดเป็นแท่งโครโมโซมเมื่อเกิดการแบ่งเซลล์

ภาพจำลองเซลล์พืชและเซลล์สัตว์พร้อมโครงสร้างเซลล์และส่วนประกอบภายในแบบคร่าว ๆ

ภาพจำลองเซลล์พืชและเซลล์สัตว์พร้อมโครงสร้างเซลล์และส่วนประกอบภายใน

กระบวนการต่าง ๆ ของเซลล์

เซลล์จะมีกระบวนการต่าง ๆ ที่สำคัญอยู่หลายกระบวนการ แต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างกระบวนการของเซลล์ที่จะสามารถพบได้ในข้อสอบ GED Science หัวข้อชีววิทยา (Life Science) คร่าว ๆ ดังนี้

การแบ่งเซลล์ (Cell Division) และวัฏจักรของเซลล์

  • กระบวนการแบ่งเซลล์ (Cell Division) คือ การเพิ่มจำนวนของเซลล์เพื่อการเจริญเติบโต, ซ่อมแซม หรือสืบพันธุ์ โดยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่

ไมโทซิส (Mitosis): เป็นการแบ่งเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมเท่ากันกับเซลล์ต้นแบบ พบได้ทั่วไปในกระบวนการเจริญเติบโตและการซ่อมแซม เช่น บริเวณปลายรากของพืช หรือเนื้อเยื่อบุผิว, ไขกระดูกในสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนการสืบพันธุ์ของสัตว์เซลล์เดียวอีกด้วย

ไมโอซิส (Meiosis): เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์จากเซลล์ดั้งเดิม 1 เซลล์ เป็นเซลล์ใหม่ 4 เซลล์พบในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยแต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซมลดลงจากเซลล์ต้นแบบครึ่งหนึ่ง และจะกลับมาจำนวนเท่าเดิมเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการปฏิสนธิระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ พบในอัณฑะและรังไข่ (สัตว์), สปอร์ (ฟังไจ) หรือเกสรเพศเมียและเพศผู้ (พืช) ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิสนธิ จะเกิดการแปรผันทางพันธุกรรม (Gene Variation) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

  • วัฏจักรของเซลล์ (Cell Cycle) หมายถึง ช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัว ประกอบด้วย 5 ระยะ

ระยะ 1 : อินเตอร์เฟส (Interphase) เป็นระยะที่เซลล์เตรียมพร้อมจะแบ่งตัวออกจากกัน Chromosome จะมองเห็นไม่ชัดเนื่องจากกำลังจำลองตัวเอง มีทั้งหมด 3 ขั้นตอนย่อย

  • G1 ระยะก่อนสร้าง DNA
  • S ระยะสังเคราะห์และสร้าง DNA
  • G2 ระยะหลังสร้าง DNA ซึ่งเซลล์มีการเจริญเติบโต และเตรียมพร้อมที่จะแบ่งโครโมโซม (Karyokinesis) และไซโทพลาสซึม (Cytokinesis) ต่อไป

ระยะ 2 : Prophase เป็นระยะที่เห็น Chromosome ได้ชัดเจน เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลิโอลัสหายไป เซนทริโอลเคลื่อนไป 2 ข้างของเซลล์ และสร้างไมโทติก โดยเส้นใยสปินเดิลจะไปเกาะที่เซนโทรเมียร์ (เกิดการแบ่งตัวของเซนทริโอล)

ระยะ 3 :  Metaphase ระยะที่เส้นใยสปินเดิลหดตัวและดึงให้ Chromosome มาเรียงตัวกันอยู่บริเวณตรงกลางเซลล์

ระยะ 4 : Anaphase ระยะที่ Chromatid ของ Chromosome แยกไปคนละข้างของเซลล์ (เกิดการแบ่งตัวของโครโมโซม)

ระยะ 5 : Telophase ระยะที่โครโมโซมลูกจะไปรวมอยู่ขั้วตรงข้ามของเซลล์ และคลายตัวออกเป็นเส้นใยโครมาทิน (Chromatin) เส้นใยสปินเดิลสลายตัว เกิดนิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียสขึ้นใหม่ (นิวเคลียสแยกเป็น 2 อัน) เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแบ่งตัวของนิวเคลียส (Karyokinesis) ใน 5 ระยะของวัฏจักรการเกิดเซลล์ และเริ่มกระบวนการแบ่งตัวของไซโทพลาซึม (Cytokinesis) ต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ ‘การแบ่งตัวของไซโทพลาสซึม (Cytokinesis)’ เกิดขึ้นหลังจากจบกระบวนการวัฏจักรของเซลล์ โดยจะสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 รูปแบบตามลักษณะเซลล์ (พืชและสัตว์) ดังนี้

  1. เซลล์สัตว์ : เกิดการแบ่งตัวของไซโทพลาสซึมแบบ Furrow Type หรือการเกิดร่องแบ่ง โดยเส้นใยโปรตีน (Microfilament) ที่อยู่ใต้เยื่อหุ้มเซลล์จะเกิดการหดตัวลงจนมีลักษณะคอดกิ่วจากทั้ง 2 ด้านเข้าสู่ใจกลางเซลล์ ทำการแบ่งไซโทพลาซึมของเซลล์สัตว์ออกเป็น 2 ส่วน จนทั้ง 2 เซลล์แยกออกจากกันโดยสมบูรณ์
  2. เซลล์พืช : เกิดการแบ่งตัวของไซโทพลาสซึมแบบ Cell Plate Type หรือการสร้างผนังกั้น โดย Cell Plate จะปรากฏขึ้นบริเวณกึ่งกลางเซลล์ และขยายตัวออกไปทั้ง 2 ด้านของเซลล์ ก่อนแปรสภาพเป็นผนังเซลล์ (Cell Wall) ที่แยกนิวเคลียสออกจากกันอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ขั้นตอนของการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสสามารถจำแนกออกเป็น 2 ขั้นตอน โดยในแต่ละขั้นตอนมี 5 ระยะเช่นเดียวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส แต่ในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสขั้นที่ 1 (Meiosis I) เมื่อถึงระยะโพรเฟสหลังการจำลอง DNA โครโมโซมที่เป็นคู่เหมือน (Homologous Chromosome) จะเคลื่อนที่เข้าหากัน (Synapsis) และบริเวณปลายของโครโมโซมช่วงปลายจะไขว้สลับกันเกิดการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนของโครมาทิด (Crossing Over) ระหว่างโครโมโซมคู่เหมือนในบริเวณดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการผันแปรของยีนในสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไป จากนั้นจะเข้าสู่ระยะอื่น ๆ ตามวัฏจักรตามเดิม เมื่อเข้าสู่ขั้นที่ 2 (Meiosis II) จะมีลักษณะคล้ายการกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส แต่จะตัดการจำลองตัวของ Chromosome (ระยะ Interphase ตอนกลาง) ออกไป

ขั้นตอนของการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส

การเคลื่อนที่ของสารผ่านเซลล์ (Transport across the cell membrane)

การเคลื่อนที่ของสารผ่านเซลล์ เป็นการลำเลียงสารเข้า-ออกจากเซลล์ เพื่อรับสารอาหารในการผลิตพลังงานสำหรับใช้ในเซลล์และกำจัดของเสียส่วนเกิน ซึ่งการเคลื่อนที่ของสารผ่านเซลล์นั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ตัวอย่างเช่น

  1. การแพร่ (Diffusion) : เป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลจากจุดที่มีความเข้มข้นสูงไปจุดที่มีความเข้มข้นต่ำ เกิดได้กับสารในทุกสถานะ (ของแข็ง, ของเหลว และก๊าซ) มีการเคลื่อนที่แบบอิสระในลักษณะกระจายออกทั่วทุกทิศทุกทาง โมเลกุลที่มีขนาดเล็กจะสามารถเกิดการแพร่ได้ไวกว่าสารโมเลกุลใหญ่ นอกจากนี้ ความเข้มข้นและชนิดของสารตัวกลาง รวมถึงอุณหภูมิรอบนอกก็จะส่งมีผลต่อการแพร่ด้วยเช่นกัน เช่น การแพร่ของเกลือในน้ำ, การแพร่น้ำหอมในอากาศ, การแพร่ในของแข็งช้ามาก เป็นต้น 
  1. การออสโมซิส (Osmosis) : เป็นการเคลื่อนที่ของของเหลวจากบริเวณที่มีน้ำมากไปสู่บริเวณที่มีน้ำน้อยกว่าผ่านเหยื่อบาง ๆ ของเยื่อหุ้มเซลล์ที่จะยอมให้สารบางชนิดผ่านได้เท่านั้น เช่น การดูดน้ำของราก จะดูเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำและสารอาหารที่สำคัญไปเลี้ยงลำต้นเท่านั้น
  1. การเคลื่อนที่แบบฟาซิลิเทต (Facilitated) : เป็นการเคลื่อนที่ของสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยใช้โปรตีนเป็นตัวนำพา เมื่อตัวนำพาเคลื่อนที่ไปจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด ก็จะนำเอาสารที่เกาะอยู่ไปด้วย จึงไม่ต้องใช้พลังงานในการเคลื่อนที่ของสาร เพียงแต่อาศัยเกาะไปกับโปรตีนเพื่อนำเอาตัวเองไปอยู่อีกจุดหนึ่งเท่านั้น เช่น การซึมผ่านของกลูโคสเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดแดง
  1. การเคลื่อนที่ของสารโดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต (Active Transport) หรือ Metabolically Linked Transport : เป็นการเคลื่อนที่ของสารโดยใช้พลังงานจากเมแทบอลึซึมเข้าช่วยให้สามารถพาสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารต่ำไปยังจุดที่มีความเข้มข้นของสารสูง เกิดขึ้นเฉพาะในเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

กระบวนการเมแทบอลิซึม (Metabolism)

เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนสารอาหารต่าง ๆ เป็นพลังงานผ่านการสลาย (Catabolism) สารอาหารโมเลกุลใหญ่ เช่น คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก และสร้าง (Anabolism) สารที่จำเป็นขึ้นเพื่อใช้งานภายในร่างกาย

กระบวนการสังเคราะห์โปรตีน (Protein Synthesis)

เซลล์จะสร้างโปรตีนตามคำสั่งของ DNA ที่มีชนิดหน้าที่แตกต่างกันออกไป เอนไซม์, ฮอร์โมน หรือการจำลอง DNA อีกชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการแบ่งตัวของเซลล์ โดยยีนส์ (Genes) เป็นส่วนหนึ่งของโมเลกุล DNA ที่ควบคุมการสังเคราะห์โมเลกุลโปรตีนของอาร์เอ็นเอผู้ส่งสาร (messenger RNA) ที่จะส่งข้อมูลทางพันธุกรรมจาก DNA ภายในนิวเคลียสไปยังตำแหน่งที่สังเคราะห์โปรตีนในไซโทพลาสซึม

เทคนิคในการทำข้อสอบ GED Science หัวข้อโครงสร้างเซลล์

ในส่วนของข้อสอบ GED Science จะประกอบด้วยข้อสอบเลือกตอบ (Multiple Choice), ลากคำตอบ (Drag-and-Drop), Drop-Down และเขียนอธิบายคำตอบ (Short-Answer) ซึ่งจะมีโจทย์ในหัวข้อชีววิทยาหรือ Life Science ที่ 40% หรือประมาณ 16 ข้อจากของข้อสอบ GED Science ทั้งหมด โดยที่จะมีข้อคำถามเกี่ยวกับเซลล์ โครงสร้างเซลล์ และกระบวนการต่าง ๆ เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของข้อสอบชีววิทยา ควบคู่ไปกับข้อสอบในหัวข้ออื่น เช่น การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศต่าง ๆ บางครั้งอาจมีโจทย์ในรูปแบบ Passage, กราฟ หรือรูปภาพประกอบคำถามเพื่อวัดความเข้าใจเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ รวมถึงมีข้อคำถามที่เกี่ยวข้องกับการอนุมานสมมติฐานและการตั้งข้อสังเกตในประเด็นต่าง ๆ ทางวิทยาศาตร์ร่วมด้วย

โดยเทคนิคการทำข้อสอบ GED Science หลัก ๆ แล้วก็จะเน้นไปที่การ “อ่านโจทย์ให้ละเอียด” และทำความเข้าใจกับสิ่งที่โจทย์ถามเป็นหลัก เนื่องจากคำตอบส่วนใหญ่จะอยู่ในข้อมูลที่โจทย์ระบุเอาไว้อยู่แล้ว แต่อาจมีข้อมูลหลอกที่ชวนให้เข้าใจผิดได้ ดังนั้นหากเข้าใจสิ่งที่โจทย์ถามและอ่านข้อมูลที่ระบุมาอย่างละเอียด รวมกับความรู้ทางด้านโครงสร้างเซลล์ที่มีอยู่เดิม ก็จะสามารถทำข้อสอบในหัวข้อนี้ได้ง่าย ๆ เลย

นอกเหนือไปจากหัวข้อเรื่อง Life Science แล้ว ในข้อสอบ GED Science ยังมีข้อสอบในหัวข้อ Psysical Science (ฟิสิกส์) และ Earth and Space Science (โลกและอวกาศ) อีกด้วย

หมายเหตุ: หากต้องการวุฒิ GED เพื่อนำเอาไปยื่นเรียนต่อ ก็จะต้องลงสอบในรายวิชาอื่น ๆ ทั้งภาษาอังกฤษ (RLA), คณิตศาสตร์ (Math) และสังคม (Social Studies) ให้ครบและผ่านทุกรายวิชา

ติว GED กับ House of Griffin พิชิตข้อสอบ GED ครบ 4 วิชา การันตีสอบผ่านคะแนนสูง

ถ้าใครกังวลเรื่องการเตรียมตัวสอบ GED ก็ขอแนะนำให้ลงติวกับ House of Griffin เลย เพราะที่สถาบันของเรามีคอร์สติว GED กับครูผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมจาก GED Official โดยตรงสอนทุกรายวิชา แถมยังมีตัวเลือกคอร์สให้ลงเรียนทั้งคอร์สแบบการันตีผลสอบ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่สถาบันกำหนด), คอร์สออนไลน์, คอร์สตัวต่อตัว และใหม่ล่าสุดกับคอร์ส GED E-learning ที่สามารถเลือกลงเรียนเฉพาะรายวิชาที่ต้องการติวได้แบบทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์ทุกคนอย่างแน่นอน

Share this article