
ใครที่กำลังเตรียมตัวไปสอบเทียบวุฒิ GED น่าจะได้ศึกษาเกี่ยวกับรายวิชาต่าง ๆ ในข้อสอบกันมาบ้างแล้วว่าเราจะต้องสอบทั้งหมด 4 รายวิชา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, คณิตศาสตร์, สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ ซึ่งในวันนี้พี่กริฟฟินจะพาน้อง ๆ มาเจาะลึกกับหัวข้อ “วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ” หรือ Earth and Space Science กันแบบเจาะลึก ถ้าใครอยากรู้ว่าหัวข้อนี้มีคำถามเกี่ยวกับอะไรบ้าง ทำไมต้องเรียนและสอบในหัวข้อนี้ ก็ลองมาอ่านบทความนี้และทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันได้เลย
ข้อสอบ GED Science คืออะไร
ข้อสอบ GED Science คือ ข้อสอบ GED ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะสามารถแบ่งหัวข้อการสอบออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ ได้แก่ ชีววิทยา (Life Science) จำนวน 40%, ฟิสิกส์ (Physics) จำนวน 40% และวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) อีก 20% ของข้อสอบทั้งหมด แต่ตัวข้อคำถามของข้อสอบ GED Science จะเน้นไปที่การทดสอบทักษะด้านการคิดและใช้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ผ่านการอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลจากที่โจทย์กำหนดให้ ไม่ได้เป็นคำถามที่เน้นการท่องจำ แต่จะเน้นไปที่ทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
Earth and Space Science วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ คืออะไร ? ทำไมต้องเรียนเรื่องนี้
Earth and Space Science หรือ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ คือ หัวข้อหนึ่งในรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของโลก โครงสร้างโลก แผ่นเปลือกโลก วงจรการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยา การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศ ไปจนถึงเรื่องชั้นบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิอากาศ แหล่งพลังงาน เชื้อเพลิง ทรัพยากรทางธรรมชาติ รวมถึงศึกษาเกี่ยวกับระบบสุริยะ อวกาศและจักรวาล โดยเหตุผลที่ต้องเรียนในเรื่องนี้ก็เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่โลกเป็นอยู่ในปัจจุบันและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งจะส่งผลไปถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอนาคต การศึกษาในเรื่องนี้จึงจะช่วยให้สามารถหาทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพได้ รวมไปถึงสามารถนำเอาความรู้ที่ได้ไปต่อยอดการเรียนได้อย่างหลากหลาย ทั้งวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม, การศึกษาทางด้านธรณีวิทยาและเชื้อเพลิงต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการเรียนสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศได้อีกด้วย
หัวข้อหลักในวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) ม.6 ที่ออกข้อสอบ GED
สำหรับข้อคำถามของ GED Science ในหัวข้อ Earth and Space Science จะเน้นไปที่เนื้อหาการเรียนในระดับม.6 ซึ่งจะมีเนื้อหาอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ ได้ ดังนี้
หัวข้อที่ 1 : ธรณีวิทยา (Geology)
หัวข้อนี้จะเจาะลึกเกี่ยวกับโครงสร้างของโลก ตลอดจนวัฏจักรและการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยา
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการแบ่งโครงสร้างของโลก (Structure of the Earth) โดยยึดจากส่วนประกอบทางกายภาพและเคมีของหินและสสารต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก (Crust), เนื้อโลก (Mantle), แก่นโลก (Core) โดยเราแบ่งได้เป็น 3 ตารางให้เข้าใจง่ายดังนี้
- เปลือกโลก (Crust) : เป็นส่วนที่อยู่ชั้นนอกสุดของโครงสร้างโลก มีทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินและผืนน้ำที่เห็นภายนอก และส่วนที่เป็นหินแข็งฝังลึกใต้แผ่นดินและมหาสมุทร เป็นชั้นที่มีความยาวมากที่สุด ประกอบไปด้วยหินหลากหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นผลึกของหินชนิดต่าง ๆ เช่น หินบะซอลต์, หินแกรนิต เป็นต้น โดยเปลือกโลกสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณ ได้แก่
ชนิดของเปลือกโลก | ลักษณะทั่วไป | ส่วนประกอบทางเคมีหลัก | หิน/ลักษณะทางกายภาพ | ความหนาเฉลี่ย (กม.) | ความสูง/ความลึกเฉลี่ย (ม.) |
เปลือกโลกทวีป (Continental Crust) | เป็นส่วนที่เป็นพื้นทวีปและไหล่ทวีป, ประกอบด้วยหินอัคนีชนิดต่าง ๆ เช่น หินแกรนิต | ซิลิคอน (Si), อะลูมิเนียม (Al) | หินแกรนิตและหินอัคนีประเภทต่าง ๆ | 35-40 (บางพื้นที่หนาถึง 70) | ความสูงเฉลี่ย 850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล |
เปลือกโลกมหาสมุทร (Oceanic Crust) | เป็นส่วนที่อยู่ใต้พื้นมหาสมุทร, มีความหนาแน่นมากกว่าเปลือกโลกทวีป ประกอบด้วยหินบะซอลต์ | ซิลิคอน (Si), แมกนีเซียม (Mg) | หินบะซอลต์ | 5-10 | ความลึกเฉลี่ย 3,800 เมตรใต้ระดับน้ำทะเล |
- เนื้อโลก (Mantle) : เป็นส่วนที่อยู่ใต้เปลือกโลก มีความหนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่ประกอบด้วยซิลิคอน (Si) แมกนีเซียม (Mg) และเหล็ก (Fe) เป็นหลักจึงมีแร่โอลิวีน (Olivine) จำนวนมาก โดยระหว่างเนื้อโลกจะมีชั้นการเปลี่ยนแปลง (Transition Zone) แทรกอยู่ทำให้สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ชั้นเนื้อโลก | ลักษณะส่วนย่อย | รายละเอียด | สถานะ/ลักษณะทางกายภาพ |
เนื้อโลกชั้นบน (Upper Mantle) | ธรณีภาค (Lithosphere) | ส่วนบนสุดของเนื้อโลกชั้นบน เป็นหินเนื้อแข็ง เป็นฐานรองรับเปลือกโลกส่วนทวีป | ของแข็ง, เย็นกว่า, หนาประมาณ 30-100 กม. |
ฐานธรณีภาค (Asthenosphere) | เนื้อโลกชั้นบนตอนล่าง มีหินหนืด (Magma) หินหลอมเหลวบางส่วน เคลื่อนที่ได้ด้วยการพาความร้อน | ของแข็งเนื้ออ่อน, มีหินหนืด, เคลื่อนที่ได้, อยู่ลึก 100-700 กม. | |
เนื้อโลกชั้นล่าง (Lower Mantle) | – | อยู่ลึกกว่า 700 กม. ถึง 2,900 กม. มีสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า มัชฌิมภาค (Mesosphere) | ของแข็ง, แข็งและหนาแน่นกว่า, มีอุณหภูมิสูง |
- แก่นโลก (Core) : เป็นโครงสร้างโลกส่วนที่อยู่ชั้นในสุด มีรัศมีประมาณ 3,485 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเหล็ก (Fe) และนิกเกิล (Ni) เป็นองค์ประกอบหลัก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชั้นย่อย คือ แก่นโลกชั้นใน (Inner Core) มีลักษณะเป็นของแข็งเนื่องจากมีอุณหภูมิและความดันความดันสูงมากจึงทำให้ธาตุต่าง ๆ จับตัวกันเป็นผลึกแข็ง และแก่นโลกชั้นนอก (Outer Core) ที่มีลักษณะเป็นของเหลวที่เคลื่อนที่ได้ ซึ่งการเคลื่อนที่นี้ก็ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก (Magnetic field) นั่นเอง
การเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยา
กระบวนการทางธรณีวิทยา : เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพื้นผิวของโลกซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศเป็นหลัก แต่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องไปถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate) ร่วมด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกที่ก่อให้เกิดการปะทุของภูเขาไฟก็จะสร้างไอร้อนจำนวนมากขึ้นบนชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมากของมนุษย์ก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโดยรวมของโลก ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนเกิดการเพิ่มขึ้นของน้ำบนแผ่นเปลือกโลก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศได้อีกด้วย
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเป็นหนึ่งในการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาและเป็นสาเหตุของการเกิด “แผ่นดินไหว”, “สึนามิ”, “ภูเขาไฟระเบิด” และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศ
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก เกิดจากการหมุนเวียนของกระแสความร้อนภายในโลก (Convection Cell) ในชั้นฐานธรณีภาคหรือชั้นเนื้อโลกตอนบนที่มีแร่และหินหลอมเหลว (Magma) ที่มีลักษณะเป็นของแข็งเนื้ออ่อนหรือกึ่งแข็งกึ่งเหลว (Semisolid) ซึ่งเมื่อความร้อนจากแก่นโลกแผ่กระจายออกมาก็จะผลักดันให้แมกมาในชั้นเนื้อโลกเกิดการเคลื่อนที่จากการพาความร้อน โดยมีหลักการคล้ายการต้มน้ำในหม้อที่ความร้อนจะก่อตัวขึ้นจากก้นหม้อ และพาให้น้ำอุณหภูมิสูงด้านล่างลอยตัวขึ้นไปสู่ด้านบน จากนั้นน้ำที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็จะเข้ามาแทนที่จนน้ำในหม้อมีอุณหภูมิสูงเท่าเทียมกันวนเวียนไปเรื่อย ๆ กลายเป็นวงจรการพาความร้อนหรือการหมุนเวียนของกระแสความร้อน ดังนั้นเมื่อแมกมาบริเวณชั้นเนื้อโลกเกิดการเคลื่อนที่ก็จะพาให้เนื้อโลกชั้นบนที่เชื่อมต่อกับบริเวณเปลือกโลกเคลื่อนที่ตามไปด้วย จึงเกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกขึ้นนั่นเอง โดยการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- การเคลื่อนที่แบบแยกออกจากกัน (Divergent Boundary) เป็นการที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกันคล้ายการฉีกแยกออก เกิดจากการดันตัวของแมกมาออกมาภายนอกเปลือกโลกตามรอยแยก ทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกัน ซึ่งจะแบ่งได้ออกเป็น 2 รูปแบบคือ
1.1 การเคลื่อนที่แยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกทวีป ทำให้เกิดรอบแยกขนาดใหญ่ของเปลือกโลกทวีปจนกลายเป็นหุบเขาทรุด (Rift Valley)
1.2 การเคลื่อนที่แยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร ทำให้เกิดร่องลึกใต้ทะเล (Oceanic Trench) ที่แมกมาแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแยกดังกล่าว ก่อนสัมผัสกับอุณหภูมิที่ชั้นเปลือกโลกและเย็นตัวลงจนกลายเป็นสันเขาใต้มหาสมุทร (Mid Ocean Ridge) และแนวภูเขาไฟใต้สมุทร
- การเคลื่อนที่แบบชนกัน (Convergent Boundary) เป็นการที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าหากันจนเกิดการชนกันของแผ่นเปลือกโลก โดยจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
2.1 การเคลื่อนที่ชนกันของแผ่นเปลือกโลกภาคทวีปด้วยกันเอง จะก่อให้เกิดการดันตัวขึ้นของแผ่นเปลือกโลกจนเป็นเทือกเขาสูงขึ้นมา หรือเกิดแนวภูเขาไฟขึ้น
2.2 การเคลื่อนที่ชนกันของแผ่นเปลือกโลกภาคสมุทรด้วยกันเอง จะก่อให้เกิดเขตมุดตัวของเปลือกโลก (Subduction zone) จนเป็นร่องลึกใต้มหาสมุทร หรืออาจเกิดการยกตัวขึ้นของแผ่นเปลือกโลกภาคสมุทรขึ้นมาเหนือผิวน้ำจนกลายเป็นเกาะต่าง ๆ ตามแนวร่องลึกมหาสมุทร ซึ่งส่วนมากจะเป็นเกาะที่มีภูเขาไฟ เช่น ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์ ที่เป็นประเภทที่ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลก จึงเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
2.3 การชนกันของแผ่นเปลือกโลกภาคทวีปและมหาสมุทร ในกรณีนี้แผ่นธรณีภาคใต้สมุทรจะมุดตัวจมลงไปใต้แผ่นธรณีภาคทวีปเนื่องจากมีความหนาแน่นที่มากกว่า ก่อให้เกิดร่องลึกใกล้ชายฝั่ง หรือหากเกิดการยกตัวขึ้นสูงของแผ่นเปลือกโลกภาคทวีปก็จะเกิดเป็นภูเขาริมชายฝั่งทะเล
- การเคลื่อนที่แบบสวนกัน (Transform Boundary) เป็นการที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่สวนทางกัน เกิดจากการที่หินหนืด (แมกมา) มีอัตราการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้แผ่นเปลือกโลกในบริเวณต่าง ๆ มีการเคลื่อนที่ในอัตราความเร็วและทิศทางที่ต่างกัน เมื่อแผ่นธรณีภาคทั้งสองเคลื่อนที่ผ่านหรือสวนทางกัน ก็จะทำให้เกิดรอยเลื่อนขนาดใหญ่ (Fault) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นได้ทั้งแผ่นดินไหวบนบก และแผ่นดินไหวในทะเล รวมไปถึงการเกิดสึนามิ ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศและโครงสร้างชั้นหินของแผ่นเปลือกโลก
ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resource)
ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นทรัพยากรที่มีอยู่เดิมในธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างขึ้นของมนุษย์ แต่มนุษย์และสัตว์สามารถนำเอาทรัพยากรเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้ โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ทรัพยากรหมุนเวียน, ทรัพยากรทดแทน และทรัพยากรสิ้นเปลือง
ประเภทที่ 1 : ทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable Resource)
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดไป มีการหมุนเวียนและเกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ เช่น ทรัพยากรน้ำที่จะเกิดจากการหมุนเวียนของวัฏจักรน้ำ, ทรัพยากรแสงอาทิตย์ที่จะได้จากดวงอาทิตย์ที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา หรือทรัพยากรลมที่เกิดจากการพัดของกระแสลมที่เคลื่อนที่ในอากาศ และแม้ว่าทรัพยากรดังกล่าวจะเป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่มีให้ใช้งานได้ไม่หมดสิ้น แต่ก็จำเป็นที่จะต้องควบคุมการกระทำการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเสียหรือสิ่งเจือปนลงในทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เช่น การปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำธาร หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรเหล่านี้ให้คงสภาพเดิม
ประเภทที่ 2 : ทรัพยากรทดแทน (Replacement Resource)
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสามารถบำรุงรักษาเพื่อให้ฟื้นคืนสภาพและนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ในระยะเวลาไม่นานมากนัก เช่น ป่าไม้, สัตว์ป่า, พืชพันธุ์, ดิน เป็นต้น หากมีการนำไปใช้งานและบำรุงรักษาให้ฟื้นคืนขึ้นใหม่ เช่น การเพาะพันธุ์พืช ปลูกป่า และอนุรักษ์สัตว์ป่า ก็จะช่วยให้ระบบนิเวศยังคงสภาพคล้ายเดิม จึงต้องระวังไม่ให้เกิดการใช้งานทรัพยากรในส่วนนี้มากเกินความจำเป็นและบำรุงรักษาทดแทนอยู่เสมอเพื่อที่จะได้สามารถคงทรัพยากรนี้สืบต่อไปได้
ประเภทที่ 3 : ทรัพยากรสิ้นเปลือง (Non-renewable Resource)
ทรัพยากรประเภทนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนหรือหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ หรืออาจใช้ระยะเวลายาวนานหลายพันปีในการสร้างทรัพยากรเหล่านี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เช่น แร่ธาตุ, น้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ, ฟอซซิล, ทองคำ เป็นต้น โดยทรัพยากรเหล่านี้ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มูลค่ามากมายมหาศาลและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่ต้องระมัดระวังในการใช้งานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ จึงควรที่จะหันไปใช้ทรัพยากรทางเลือกที่พัฒนาขึ้นมาทดแทนทรัพยากรเหล่านี้ และนำทรัพยากรส่วนที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด
หัวข้อที่ 2 : วัฏจักรน้ำ
นอกจากนี้เราต้องเข้าใจวัฏจักรของน้ำ (Water Cycle) ด้วย ว่าคือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เมื่อน้ำเหล่านี้ถูกความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็จะระเหย (Evaporation) กลายเป็นไอน้ำและลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยมีกระแสลมช่วยเร่งกระบวนการนี้ เมื่อไอน้ำลอยขึ้นสูงและเย็นตัวลงก็จะเกิดการควบแน่น (Condensation) และแปรสภาพเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก เกาะกลุ่มกันเป็นเมฆ ก่อนที่จะเกิดกระบวนการตกตะกอน (Precipitation) กลายเป็นหยาดน้ำฟ้า ก่อนจะตกลงกลับสู่ผืนดินและผืนน้ำในรูปแบบของฝน, ลูกเห็บ และหิมะ จากนั้นอาจเกิดกระบวนการสะสมของน้ำที่ตกลงและซึมลงบนผิวดินกลายเป็นน้ำบาดาล หรือเกิดการรวมตัวของน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ และเกิดเป็นวัฏจักรของน้ำวนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
โดยวัฏจักรของน้ำบนโลกใบนี้จะเป็นตัวกำหนดสภาพอากาศ (Weather) หรือการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในระยะสั้น เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง, ปริมาณน้ำฝนบนพื้นที่ต่าง ๆ ความเร็วลม, ความชื้น และความกดอากาศ ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นพายุทั้งบนบกและในทะเลได้
การกัดเซาะและผุพัง (Erosion and Weathering) เป็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลกที่เกิดจากกระแสลม, น้ำ, ธารน้ำแข็ง และการสะสมของตะกอน (Sedimentation) โดยเมื่อน้ำฝนละลายคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจะกลายเป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับหิน ทำให้หินผุพังและเกิดการกัดเซาะของหิน และเมื่อน้ำไหลจากผืนดินลงสู่แหล่งน้ำ ก็จะพัดพาตะกอน แร่ธาตุ และสารต่าง ๆ ไปสะสมลงในแหล่งน้ำและเกิดการกัดเซาะของผิวน้ำกับผืนแผ่นดินหรือหินแร่
การทับถม (Deposition) เป็นการสะสมตัวของตะกอนที่ถูกกระแสน้ำหรือกระแสลมพัดพามา เกิดเป็นการทับถมกันของสสารหรือแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาอื่น ๆ เช่น วัฏจักรหิน หรือการเกิดหาดทราย
การตกผลึก (Crystallization) เป็นการเกิดขึ้นของแร่ธาตุที่ผ่านกระบวนการทางเคมีของสารที่ผุพังหรือละลายทับถมกันและจับตัวเป็นก้อนผลึก เกิดเป็นผลึกแร่ธาตุ หรือหินชนิดต่าง ๆ
หัวข้อที่ 3 : ระบบสุริยะและอวกาศ
หัวข้อสุดท้ายของวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) ก็ได้แก่ “อวกาศ” และระบบสุริยะนั่นเอง โดยในส่วนนี้ก็คาดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอมีความรู้พื้นฐานกันมาอยู่บ้างแล้วจึงจะขออธิบายคร่าว ๆ เอาไว้ดังนี้
ระบบสุริยะ คือ ระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรโดยรอบด้วยแรงโน้มถ่วง เกิดขึ้นมาจากเนบิวลาสุริยะ (Solar Nebula) ซึ่งประกอบไปด้วยฝุ่นและแก๊ส ส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมรวมไปถึงธาตุหนักต่าง ๆ ที่ได้ก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์ที่บริเวณศูนย์กลางของระบบสุริยะ และสสารที่เหลือจะรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์กระจายตัวกันหมุนรอบดวงอาทิตย์ ส่วนที่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ได้ก็จะเกิดเป็นดาวหาง (Comet) สะเก็ดดาว (Meteoroid) และฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ (Interplanetary dust cloud) ลอยอยู่ในระบบดาวเคราะห์ ซึ่งระบบสุริยะที่เราคุ้นเคยกันดีก็มีระบบสุริยะที่มีโลกของเราเป็นส่วนหนึ่งนั่นเอง
ระบบสุริยะของโลกนั้นจะมีดวงอาทิตย์ (Sun) เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร โดยจะประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ชั้นใน 4 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ (Mercury) ดาวศุกร์ (Venus) โลก (Earth) และดาวอังคาร (Mars) คั่นด้วยแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) ถัดมาจะเป็นดาวเคราะห์ชั้นนอกอีก 4 ดวง ได้แก่ ดาวพฤหัส (Jupiter) ดาวเสาร์ (Saturn) ดาวยูเรนัส (Uranus) และดาวเนปจูน (Neptune) และแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) รวมไปถึงมีดาวเคราะห์แคระ (Drawf Planet) อย่างดาวพลูโต (Pluto) และดาวเคราะห์แคระดวงอื่น ๆ ส่วนแถบนอกสุดของระบบสุริยะจะเป็นเมฆออร์ต (Oort Cloud)
โดยนอกเหนือไปจากดาวพุธและดาวศุกร์แล้ว ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ภายในระบบสุริยะแห่งนี้จะมี “ดวงจันทร์” (Moons/ Satellite) เป็นบริวารที่โคจรรอบดาวเคราะห์นั้น ๆ ด้วย โดยดวงจันทร์ที่คุ้นเคยกันมากที่สุดก็ได้แก่ ดวงจันทร์ของดาวโลกที่มีเพียง 1 ดวงเท่านั้น ส่วนดาวเคราะห์อื่น ๆ ในระบบสุริยะส่วนใหญ่จะมีดวงจันทร์เป็นบริวารมากกว่า 1 ดวงขึ้นไป เช่น ดาวพฤหัส มีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 92 ดวงเลยทีเดียว
ระบบสุริยะนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ โดยจะอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ซึ่งนอกเหนือไปจากระบบสุริยะของโลกเราแล้ว ยังมีระบบดาวเคราะห์และดาราจักร (Galaxy) อื่น ๆ ภายในจักรวาล (Space) ที่รอการค้นพบอยู่อีกมากมาย
เทคนิคการทำข้อสอบวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) ใน GED Science
เทคนิคในการทำข้อสอบ Earth and Space Science ให้ไม่พลาดจุดสำคัญ นั่นคือ “การทำความเข้าใจโจทย์” และอ่านข้อมูลอย่างละเอียด เนื่องจากข้อสอบ GED Science จะไม่ได้เน้นการท่องจำข้อมูล แต่จะมีการบอกข้อมูลคร่าว ๆ มาในโจทย์และให้วิเคราะห์ตามข้อมูลที่ระบุเอาไว้เป็นหลัก ดังนั้นหากจับ Key Message สำคัญในโจทย์ที่โยงไปถึงคำตอบได้ก็จะทำให้สามารถตอบได้อย่างง่ายดาย แต่ทั้งนี้ก็ควรทบทวนความรู้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) ติดตัวเอาไว้ด้วย เพื่อนำเอาข้อมูลที่โจทย์ระบุให้กับความรู้ที่เรามีอยู่เดิมมาประกอบกัน จะได้ช่วยประหยัดเวลาในการทำข้อสอบไปได้นั่นเอง
ตัวอย่างข้อสอบและแนวทางการแก้ปัญหา
สำหรับโจทย์ตัวอย่างในข้อนี้จะเป็นรูปภาพแผนที่โลกที่ประกอบไปด้วยเส้นแบ่งของแผ่นเปลือกโลก, ภูเขาไฟ และเส้นศูนย์สูตร ซึ่งตัวโจทย์ถามว่าจากรูปที่กำหนดให้ ข้อใดถูกต้องที่สุด
ข้อนี้ตอบ C เนื่องจากเมื่อดูจากรูปแล้วจะเห็นว่าภูเขาไฟส่วนใหญ่มีการเรียงตัวอยู่บนบริเวณเส้นแบ่งของแผ่นเปลือกโลกต่าง ๆ นั่นเอง
การวิเคราะห์คำตอบของข้อนี้ถือว่าง่ายมาก ๆ สามารถทำได้โดยการตัดตัวเลือกที่ถูกต้องน้อยที่สุดออกไปก็จะได้คำตอบของข้อนี้แล้ว เพราะถึงแม้ว่าตัวเลือกอื่น ๆ จะมีความถูกต้องแต่ก็ไม่ได้ตรงประเด็นจากที่โจทย์ต้องการจะสื่อ เพราะข้อ A บอกว่าภูเขาไฟมีการกระจายตัวแบบสุ่มบนโลก ข้อนี้จะเห็นได้ว่าไม่เป็นความจริง เพราะจุดที่เกิดของภูเขาไฟส่วนมากจะอยู่บริเวณรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกเป็นหลัก ส่วนของ B ที่บอกว่าภูเขาไฟจะอยู่เฉพาะบริเวณขอบทวีปก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากการแบ่งทวีป (Continent) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกเป็นหลัก นอกจากนี้ข้อ D ยังไม่เป็นความจริง เนื่องจากแผนที่จะเห็นได้ว่าภูเขาไฟจะอยู่บนเส้นแบ่งของแผ่นเปลือกโลกที่ค่อนไปยังฝั่งขั้วโลกเหนือมากกว่าขั้วโลกใต้นั่นเอง จึงสรุปได้ว่าข้อ C ถูกต้องที่สุดและเป็นคำตอบของคำถามในข้อนี้
ลงติวเสริมกับ House of Griffin คว้าวุฒิ GED ไวทันใจใน 2 เดือน
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าข้อสอบ GED Science ในหัวข้อวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศนั้นจะมีอยู่ประมาณ 20% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ราว 8 ข้อจากข้อสอบทั้งหมด จึงถือว่าเป็นข้อสอบส่วนที่น้อยที่สุดของวิชานี้ แต่น้อง ๆ ก็ไม่ควรชะล่าใจและมองข้ามการทำข้อสอบส่วนนี้ไป เพราะถึงแม้จะมีสัดส่วนที่น้อยแต่ก็ช่วยเติมเต็มคะแนน GED ของเราให้สมบูรณ์ขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม พี่กริฟฟินก็ขอแนะนำให้แบ่งเวลาการติวและทบทวนเนื้อหาข้อสอบ GED Science ให้ครบถ้วน เพราะนอกจากหัวข้อนี้แล้วก็ยังมีข้อสอบในส่วนของ Life Science (ชีววิทยา) และฟิสิกส์ (Psysical Science) ด้วย
นอกจากนี้ ข้อสอบ GED Science ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการสอบเพื่อเทียบวุฒิ GED เท่านั้น หากใครตั้งเป้าหมายว่าอยากได้วุฒิ GED ก็จะต้องสอบให้ผ่านแบบครบถ้วนทั้ง 4 รายวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, สังคม และคณิตศาสตร์ ถึงแม้ว่าระบบจะเปิดโอกาสให้สามารถลงสอบครั้งละ 1 รายวิชาได้ แต่เพื่อการประหยัดเวลาและคว้าวุฒิ GED ได้ไวทันใจ พี่กริฟฟินก็อยากแนะนำให้แบ่งเวลาการทบทวนเนื้อหาการสอบในรายวิชาต่าง ๆ อย่างครบถ้วน หรือหากใครอยากมองหาทางลัดในการสอบ GED แบบครบถ้วนทุกรายวิชา ก็ขอแนะนำให้ลงติวกับ House of Griffin สถาบัน ติวสอบ GED ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก GED Official โดยตรงและมีประสบการณ์กว่า 14 ปี การันตีสอบผ่านทุกรายวิชาใน 2 เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่สถาบันกำหนด)