เบื่อไหมเวลาสอบ IELTS แล้วไม่ได้ Band ที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะ Writing ตัวร้าย สอบกี่รอบ IELTS Band ไม่เคยขยับ หรือเป็นเพราะเราอาจจะไม่เคยลอง “Planning” ก่อนเขียนหรือเปล่านะ หรือสิ่งที่เราทำอยู่อาจจะยังมีจุดพลาดอยู่ วันนี้ทุกปัญหาจะจบลง เพราะพวกเราจะพาน้อง ๆ ไปดู steps การเขียนสุดปัง โดยเริ่มจากงานเขียนที่ดีคืออะไร วิธีเขียน Writing IELTS Task 2 ใน 3 ขั้นตอนมีการวางแผนอย่างไร และตัวอย่างการทำถ้าพร้อมแล้ว ลุย!
งานเขียนที่ดีคือแบบไหน แล้วทำไมต้องวางแผน
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่างานเขียนที่ดีต้องเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่หรูหรา โครงสร้างที่ซับซ้อน หรือไอเดียที่ลึกล้ำ จริง ๆ แล้วนั้น งานเขียนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เราเขียน “อะไร” บ่อยครั้ง มันขึ้นอยู่กับเราเขียน “อย่างไร” งานเขียนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้คำศัพท์ที่สวยหรู หรือโครงสร้างที่แยบยล หัวใจสำคัญของงานเขียนจริง ๆ คือ ความคิดที่มีระบบ เหตุผลที่หนักแน่น และโครงสร้างที่ชัดเจน
นี่แหละ หนึ่งในสาเหตุที่ดึง Band เราต่ำ เพราะงานเขียน ก็เหมือนแบรนด์เนม สวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีคุณภาพด้วย แปลว่า ต่อให้เราใช้ศัพท์แสงแค่ไหน ถ้าผู้อ่านไม่เข้าใจ งานเขียนนั้นก็ไม่มีความหมาย
มาถึงจุดนี้ น้อง ๆ บางคนอาจจะตั้งคำถามแล้วว่า งานเขียนที่ดีต้องมีหน้าตาแบบไหนกันแน่ งั้นเรามาทำความเข้าใจคร่าว ๆ กันดีกว่า ว่างานเขียนที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร
สำหรับวิธีเขียน Writing IELTS Task 2 ความคิดเห็น (opinion) คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่จะช่วยแต่งเติมให้ความคิดเห็นของเราสมบูรณ์ขึ้นได้ต้องอาศัยเหตุผล (logical explanation) ตัวอย่างสนับสนุน (example) และภาษาเชิงวิชาการ (academic tone)
ตัวอย่างเช่น
“Education is highly crucial.” มีการยกระดับศัพท์จาก very important เป็น highly crucial แต่ประโยคนี้มีแค่ความคิดเห็น และขาดทั้งเหตุผล กับตัวอย่างสนับสนุน
ในทางกลับกัน “Statistically, children who finish school are more likely to get a better job and able to support their families.” แม้ระดับคำศัพท์อาจจะไม่ได้สูง แต่เชื่อว่า ถ้าทุกคนอ่าน จะเข้าใจและเห็นภาพตามผู้เขียนคนนี้ได้มากกว่า เพราะงานเขียนชิ้นนี้มีตัวอย่างสนับสนุนชัดเจน
3 ขั้นตอนวิธีเขียน Writing IELTS Task 2 ให้ปังพาดัน Band สูง
ในโลกการเขียน การวางแผน (planning) เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 stage หลัก ดังนี้
Stage 1: Question Analysis
เมื่อได้รับโจทย์ ควรวิเคราะห์โจทย์ให้แตกก่อน เพราะหากเข้าใจโจทย์ผิด อาจทำให้หลงประเด็นได้ ด้วยการใช้หลัก GMI หรือหลักการรื้อคำถาม
G:General = หัวข้อหลัก หรือภาพรวมใหญ่ สังเกตได้จาก Nouns ในประโยค อาทิ education, technology, environment, etc.
M:Micro = หัวข้อย่อย หรือทิศทางของงาน มักจะอยู่ในรูปของ Verbs, Adjectives, Adverbs หรือแม้แต่ Nouns ในบางกรณี
I:Instruction = คำสั่ง หรือประเภทของโจทย์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ agree/disagree, advantage/disadvantage, both views, หรือ problem-solution
ตัวอย่าง
Face-to-face meetings with people are much more effective than meetings held on the telephone or via the Internet.
To what extent do you agree or disagree?
General: Meetings/Conversation
Micro: Face-to-face, more effective than, Telephone/Internet
Instruction: agree or disagree
Stage 2: Idea Generation
เลือกไอเดียที่เหมาะสม โดยหยิบสิ่งที่คิดได้ไวและมีตัวอย่างสนับสนุนชัดเจน โดยใช้หลัก 3 Step Idea-lock
- Reason: เหตุผลที่ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสมกับสิ่งที่เราวิเคราะห์ไว้ใน stage แรก เช่น One key reason is that face-to-face meetings build stronger understanding and trust จากประโยคนี้ build stronger understanding and trust เป็นเหตุผลหลักเพื่อสนับสนุนข้อดีของ topic ดังกล่าว
- Because: เพิ่มเหตุผลรองรับให้หนักแน่น บอกให้ชัด พูดให้ตรงว่าทำไมเหตุผลของเรามันถึงดีเลิศ เช่น This is because participants can read body language, facial expressions, and tone, which helps reduce misunderstandings. จากประโยคนี้ body language, facial expressions และ tone เป็น key terms ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจ reason ก่อนหน้าของเรามากขึ้น
- Proof: เติมเหตุการณ์ ตัวอย่าง ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ทำให้เห็นภาพ เช่น For example, a deal made in person is more likely to reach agreement more than online negotiations.
อย่าลืม เน้นไว กระชับ และตรงประเด็นเพื่อไม่ทำให้เราเสียเวลาในการเขียน
เกือบลืมบอก ใน stage นี้ เราสามารถมองหาคำศัพท์ที่เหมาะสมไปในตัวได้เลย เพื่อทำให้เขียนได้ง่ายและไวขึ้น
Stage 3: Structure
เมื่อได้ไอเดียแล้ว ก็ควรรู้จักวิธีจัดวางให้เป็นระบบ เพื่อให้สะดวกต่อการเขียน สองโครงสร้างหลักที่ใช้ได้ และเราแนะนำให้ทุกคนเลือกใช้ ได้แก่ PEEL Structure และ PEE-CAR Structure
PEEL Structure :
โครงสร้างพื้นฐานยอดนิยมที่คนชอบใช้เขียน Body paragraph
P = Point = Topic sentence หรือประเด็นหลักที่เราตั้งใจจะพูดในย่อหน้านั้น
E = Explanation หรือคำอธิบาย ซึ่งมักจะเป็นคำพูดที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าทำไมประเด็นนี้ถึงสำคัญ และควรถูกยกมาพูดถึง
E = Example หรือตัวอย่าง จะต่างจากคำอธิบายตรงที่ ตัวอย่างจะช่วยทำให้ผู้อ่านให้ภาพตามได้ง่ายขึ้น หากใครที่ใช้คำพูดไม่เก่งแล้วละก็ ลองหันมาใช้ตัวอย่างช่วยเพื่อทำให้งานเขียนเราชัดเจนขึ้นก็ได้นะ
L = Link หรือการเชื่อมโยงประเด็น ทำหน้าที่เหมือนกาวที่เชื่อมทุกสิ่งที่พูดให้เข้าด้วยกันเป็นก้อนเดียว
ตัวอย่าง
P (Point)
One main advantage of face-to-face meetings is that they promote clearer and more effective communication.
E (Explanation)
When people meet in person, they can interpret nonverbal cues such as eye contact and gestures, which helps prevent miscommunication.
E (Example)
For example, in business negotiations, being able to observe the other person’s reaction helps both sides adjust their tone and message appropriately.
L (Link)
Therefore, face-to-face interaction is often more effective for building mutual trust and achieving agreement.
PEE-CAR structure :
โครงสร้างที่ค่อนข้างซับซ้อนมากขึ้น แต่หากน้อง ๆ สามารถปรับใช้ได้เป็น ก็จะช่วยทำให้งานเขียนเราดูโปรมากยิ่งขึ้น โครงสร้างนี้จะมีความคล้ายคลึงกับ PEEL แต่จะละเอียดมากขึ้น
P = Point หรือ Topic Sentence หลักการเดิม คือช่วยควบคุมทิศทางในการเขียนย่อหน้า
E = Explain อธิบายที่ไปที่มาว่าทำไมหัวข้อที่เราเลือกมาเขียนถึงเหมาะสมและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่โจทย์ถาม
E = Evidence ยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น
C = Counter เป็นการพูดถึง argument จากฝั่งตรงข้าม จะช่วยทำให้งานเราดูมีมิติมากยิ่งขึ้น
A = Answer เป็นการตอบข้อกังวลจากอีกฝ่าย ด้วยเหตุผล หรือข้อแนะนำที่สมเหตุสมผล สิ่งนี้จะช่วยทำให้งานเขียนเรารัดกุม และมีความเป็นวิชาการมากขึ้น
R = Result ทำหน้าที่คล้าย Link คือเชื่อมทุกอย่างให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ตัวอย่าง
P (Point):
Although online platforms are convenient, face-to-face meetings remain more effective for developing professional relationships.
E (Explain):
This is because in-person interaction allows people to connect emotionally, understand subtle expressions, and respond immediately.
E (Evidence):
For instance, many business people believe face-to-face communication leads to stronger business partnerships.
C (Counter):
Some argue that virtual meetings can save time and are equally productive for short discussions.
A (Answer):
However, while efficiency matters, the quality of connection and depth of understanding are often greater in physical meetings.
R (Result):
As a result, important decisions and negotiations tend to succeed more when conducted face-to-face.
ตัวอย่าง Writing IELTS Task 2 และการวางแผน
Prompt: Nowadays, children watch a lot of TV and play video games. However, some think these activities are not beneficial for mental health.
To what extent do you agree or disagree with this statement?
Planning:
G: These activities = children watching a lot of TV and play video games
Mental health
M: not beneficial
I: agree or disagree
(ขั้นนี้บางคนอาจจะวิเคราะห์ G กับ M ออกมาต่างกัน แต่สุดท้าย หากเก็บทุกคีย์สำคัญได้ ก็ถือว่าผ่านฉลุย)
Reason: can be part of a balanced lifestyle, but excessive use can harm mental health
Because: lack real interaction if spend too much time on TV or video games
Proof: a scenario where kids are glued to their screens only
(เราไม่จำเป็นต้องเป็นประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์ หรือใช้ทุกอย่างที่แพลนในขั้นนี้ตอนเขียนจริงก็ได้นะ ขั้นตอนนี้แค่มาช่วยทำให้เราเห็นภาพงานเขียนเราชัดเจนขึ้นเท่านั้น)
Pee-car structure:
Moderate use of TV and video games can be part of a balanced lifestyle, but excessive use can harm children’s mental health. Screen-based activities limit time for real interactions, which are essential for emotional growth. For instance, a child who spends long hours on TV may miss opportunities to join in sports or family activities. A better solution is to encourage educational programs and time limits. Consequently, children can enjoy technology without risking their mental health.
(ใครไม่ถนัดใช้ pee-car จะใช้ peel ก็ได้นะ)
ส่วนน้องคนไหนอยากรู้เทคนิคเขียน IELTS Writing Task 2 ยังไงให้ได้คะแนน 7.0 ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คลิก
ฝึกการวางแผน ฝึกเขียน สู่เป้าหมาย IELT Band ที่ตั้งไว้
จบแล้วสำหรับ steps การแพลนสุดปังที่จะช่วยทำให้น้อง ๆ คว้าคะแนนในฝันหากเข้าใจวิธีเขียน Writing IELTS Task 2 สิ่งสำคัญคือไม่ว่าเราจะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมว่าการวางแผนที่เป็นระบบจะทำให้งานเราออกมาเป็นระเบียบ สุดท้ายหากอยากคว้าแบรนปัง ไอเดียเก๋อย่างเดียวคงไม่เตะตาผู้ตรวจ โครงสร้างภาษา การทำความเข้าใจโจทย์ และโครงสร้างงานเขียนที่ถูกต้องก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ดังนั้นฝึกฝนกันเยอะ ๆ น้า..พวกเราเป็นกำลังใจให้ สู้!
