น้อง ๆ หลายคนที่กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจจะสอบให้ติดในรอบพอร์ต (Portfolio) ของหลักสูตรอินเตอร์ หรือเตรียมตัวไปเรียนต่อป.ตรีที่ต่างประเทศก็น่าจะพอคุ้นเคยกับคำว่า SOP หรือ Statement of Purpose กันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นอีกหนึ่งใน Requirement สำคัญที่ต้องยื่นให้กับทางมหาวิทยาลัย แต่สำหรับใครที่อยู่ในช่วงหาข้อมูลและยังไม่ทราบว่าการเขียน SOP คืออะไร สำคัญกับการสอบเข้ายังไงบ้าง และจะเริ่มเขียนยังไงให้โดนใจคณะกรรมการ ก็มาเรียนรู้เทคนิคจากพี่กริฟฟินในบทความนี้กันได้เลย
การเขียน SOP คืออะไร
Statement of Purpose หรือที่นิยมเรียกกันแบบย่อ ๆ ว่า SOP คือ เอกสารหรือจดหมายแนะนำตัวเองสั้น ๆ ที่บอกเล่าถึงประวัติส่วนตัว การศึกษา ประสบการณ์การเรียนและการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนต่าง ๆ ที่น่าสนใจและโดดเด่น โดยคณะกรรมการจะนำเอาเอกสารนี้มาพิจารณาเพื่อคัดเลือกผู้สมัครที่จะเข้าศึกษาต่อ จึงต้องแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ในการเลือกเรียนในคณะวิชาหรือสาขานั้น ๆ รวมถึงเชื่อมโยงความสนใจและเป้าหมายในอนาคตที่จะสำเร็จขึ้นได้จากการเข้าเรียนในคณะดังกล่าว ปกติแล้วจะกำหนดความยาวอยู่ที่ประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ และในเบื้องต้นจะระบุจำนวนคำเอาไว้ไม่เกิน 1,000 คำ ดังนั้นจึงต้องเขียนให้สั้นและกระชับที่สุด
SOP แบ่งหัวข้อการเขียนอย่างไรบ้าง
ในเบื้องต้น SOP จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คล้ายคลึงกับหลักการเขียนบทความหรือ Essay ทั่วไป ได้แก่ บทนำ (Introduction) เนื้อหา (Body) และสรุปปิดท้าย (Conclusion) โดยสามารถแบ่งหัวข้อการเขียน ออกเป็น 4 หัวข้อใหญ่ ๆ โดยเริ่มจากประวัติส่วนตัว ความสนใจ เหตุผลในการเลือกคณะ/สาขาวิชาดังกล่าว และปิดท้ายด้วยเป้าหมายในการเรียน ดังนี้
1. Who am I?
หัวข้อแรกจะเป็นส่วนบทนำ (Introduction) ของ SOP ที่น้อง ๆ จะต้องเขียนแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของตัวเอง โดยเขียนถึงหลักสูตรหรือสายการเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบันให้มีความเชื่อมโยงกับตัวคณะที่ต้องการจะศึกษาต่อ เพื่อดึงความสนใจให้คณะกรรมการเห็นถึงความตั้งใจที่อยากจะเรียนต่อในคณะนั้น ๆ เช่น เรียนสายวิทย์-คณิตที่โรงเรียน A โดยมีความสนใจในรายวิชา B มากเป็นพิเศษ หรือเรียนในโรงเรียน C ที่ใช้หลักสูตรนานาชาติแบบ A-Level และลงเรียนในรายวิชาใดบ้างที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะที่ต้องการจะเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกสนใจและตัดสินใจเลือกสมัครในสาขาดังกล่าว โดยเชื่อมโยงกับการเรียนในปัจจุบันของเราด้วย
2. What am I interested in?
ถัดมาเป็นส่วนของเนื้อหา (Body) จุดนี้น้อง ๆ สามารถเขียนขยายความเรื่องความสนใจในคณะหรือสาขาวิชาที่ต้องการศึกษาต่อ รวมทั้งยกตัวอย่างกิจกรรม ผลงานหรือรางวัลที่เคยได้รับที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับคณะ/สาขาที่ต้องการเรียนต่อ โดยเล่าถึงรายละเอียดของแต่ละชิ้นงาน ทั้งขั้นตอนการทำงาน วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และผลลัพธ์ของงานแต่ละชิ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงทักษะในการจัดการกับปัญหาและการวางแผนจัดการงาน
3. Why did I choose this Faculty / University?
ส่วนนี้ก็ยังเป็นเนื้อหา (Body) เช่นเคย โดยเขียนเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเลือกสมัครเข้าเรียนในคณะ/สาขา และมหาวิทยาลัยดังกล่าว ในส่วนนี้สามารถเขียนเชื่อมโยงจากความสนใจในหัวข้อที่ 2 รวมทั้งแทรกความคิดเห็นในเชิงบวกที่เกี่ยวกับตัวหลักสูตรหรือคณะวิชาที่เลือกเรียนเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นได้ เช่น เป็นคณะที่เปิดสอนมาอย่างยาวนาน มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลรับรองจากหน่วยงานต่างประเทศ หรือเป็นคณะเปิดใหม่ที่มีหลักสูตรตรงกับความสนใจของน้อง ๆ หรือหยิบยกรายวิชาภายในหลักสูตรมาพูดถึงแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีการทำการบ้านเกี่ยวกับรายวิชาการเรียนเป็นอย่างดีก็ได้เช่นเดียวกัน
4. What is my goal?
สุดท้ายเป็นบทสรุป (Conclusion) ของ SOP ที่ควรจะเขียนอธิบายถึง “เป้าหมาย” ในการเรียนของน้อง ๆ ที่การเรียนในหลักสูตรดังกล่าวจะสามารถเติมเต็มความฝันในอนาคตให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ในส่วนนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง “อาชีพ” ในอนาคตเสมอไป แต่อาจเขียนถึงการต่อยอดการเรียนในระดับปริญญาโท ซึ่งการเรียนในหลักสูตรดังกล่าวจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายของเราได้ โดยเขียนออกมาให้มีเหตุผลและมีที่มาที่ไปชัดเจน ทั้งนี้ หากต้องการเล่ายาว ๆ อาจปรับเป็นส่วนของเนื้อหา (Body) และเพิ่มย่อหน้าการสรุป (Conclusion) ขึ้นมาเพิ่มได้ตามความเหมาะสม
แชร์ 4 เทคนิคการเขียน SOP ก่อนเริ่มได้เปรียบกว่า
ตรวจสอบ Requirement ของคณะที่ต้องการยื่นเข้าสมัครเรียนอย่างละเอียด
ก่อนจะเริ่มต้นเขียน SOP ขึ้นมาเพื่อยื่นสมัครเรียน แนะนำให้น้อง ๆ ทำการศึกษารายละเอียดการรับสมัครและตรวจสอบเรื่องการเรียกขอเอกสาร SOP ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน โดยยึดจากประกาศรับสมัครนิสิต/นักศึกษาปีการศึกษาล่าสุดเป็นหลัก หากทางคณะไม่ได้เรียกขอก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเขียนขึ้นมานั่นเอง รวมถึงบางคณะอาจเรียกขอ “Portfolio” ที่เป็นแฟ้มสะสมผลงานแทน ซึ่งจะมีการเตรียมตัวที่ต่างออกไปจากการเขียน SOP นั่นเอง นอกจากนี้หลาย ๆ คณะที่มีการเรียกขอ SOP ก็จะมีการกำหนดจำนวนคำหรือจำนวนหน้าเอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีการระบุถึงฟอนต์ที่ควรใช้และขนาดตัวอักษรที่เป็นมาตรฐาน จึงควรศึกษาให้ละเอียดก่อนการเรื่มเขียนเพื่อให้เขียน SOP ออกมาได้ตรงตามที่คณะต้องการ
ศึกษาเกี่ยวกับคณะ สาขา และมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อให้ชัดเจน
หาข้อมูลและทำการบ้านเรื่องคณะวิชาและสาขาที่ต้องการเรียนต่อแบบเจาะลึก โดยอาจเข้าไปในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนและรายวิชาต่าง ๆ เพื่อนำเอามาเขียนถึงเหตุผลทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนในหลักสูตรดังกล่าว นอกจากนี้ยังควรหาข้อมูลเรื่องของมหาวิทยาลัย เพิ่มเติมเพื่อหยิบยกจุดเด่นมาพูดถึงว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ แทนที่จะเลือกมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่มีการเปิดสอนในคณะเดียวกัน
เขียนให้เห็นตัวตนของเราในด้านบวก
เขียน SOP ออกมาให้ Mood & Tone มีความ Positive และดูมีความกระตือรือร้นในการสมัครเข้าเรียนในคณะ/สาขานั้น ๆ ให้มากที่สุด โดยอาจใช้รูปประโยคแบบ Active Voice และเขียนให้เห็นภาพชัดเจนที่จะเชื่อมโยงไปยังเป้าหมายในอนาคตของเรา โดยอาจยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เคยพบเจอในระหว่างการเรียนและบอกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในเชิงบวกเพิ่มเข้าไปด้วย
ตรวจทานข้อมูลก่อนส่ง
เมื่อเขียน SOP เสร็จสิ้นแล้ว ให้ทำการ Recheck ข้อมูลทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง โดยตรวจดูไวยากรณ์และการใช้คำศัพท์ภายในตัว SOP ของเราให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่เป็นกันเองมากจนเกินไป เนื่องจากเป็นเอกสารที่ใช้ในการยื่นสมัครเรียน จึงควรใช้ภาษาให้ดูทางการหรือกึ่งทางการมากที่สุด
4 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการเขียน SOP
นอกจาก 4 หัวข้อหลัก ๆ ที่ควรกล่าวถึงใน SOP และ 4 เทคนิคก่อนเริ่มเขียน SOP แล้ว พี่กริฟฟินก็ขอแนะนำ 4 สิ่งที่ควร “หลีกเลี่ยง” ในการเขียน SOP ด้วย
หลีกเลี่ยงการเขียนเหมือนเรียงความทั่วไป
แม้ว่าการเขียน SOP จะมีหลักการคล้ายการเขียนเรียงความหรือ Essay โดยแบ่งการเขียนออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ แต่จุดสำคัญคือการบอกเล่าถึง “4 หัวข้อ” หลักให้ครบถ้วน โดยไม่จำเป็นที่จะต้องยึดเป็น Pattern ของการเขียน Essay เสมอไป ซึ่งน้อง ๆ สามารถแบ่งย่อหน้าย่อยได้มากกว่า 4 ย่อหน้าตามความเหมาะสมของเนื้อหาที่เขียน แต่เน้นให้มีความสั้น กระชับ และอ่านเข้าใจง่าย
หลีกเลี่ยงการคัดลอกเทมเพลตโดยไม่ปรับแต่ง
ถ้าใครเป็นมือใหม่ในการเขียน SOP ก็น่าจะเริ่มด้วยการค้นหาตัวอย่าง SOP ของคนอื่น ๆ มาปรับแต่งให้เข้ากับเป้าหมายของตัวเอง แต่หลาย ๆ คนก็อาจยึดเผลอ Template หรือ Pattern การเขียนของผู้อื่นมาโดยไม่รู้ตัว พี่กริฟฟินแนะนำให้ทำการศึกษา SOP ของผู้อื่นเป็นแนวทางการเขียนคร่าว ๆ แต่ให้เริ่มต้นเขียน SOP ด้วยตัวเองโดยไม่นำเอา SOP ของผู้อื่นมาแก้ใส่ข้อมูลบางจุด เนื่องจากเป้าหมายและความสนใจของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป แม้ว่าจะมีความสนใจเรียนในคณะเดียวกันก็ตาม นอกจากนี้ หากน้อง ๆ ยื่นสมัครเรียนหลายหลักสูตรพร้อม ๆ กัน ก็ควรเขียน SOP ขึ้นมาใหม่เพื่อส่งให้แต่ละคณะ แต่ละมหาวิทยาลัย โดยเน้นให้เห็นถึงเป้าหมายและความสนใจของเราแบบเฉพาะเจาะจง ไม่ควรนำเอาอันเก่ามาแก้ เนื่องจากอาจมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกันหลุดไปได้
หลีกเลี่ยงการเล่าถึงประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับเป้าหมาย
น้อง ๆ บางคนอาจเห็นว่าการเล่าถึงรางวัลหรือผลงานที่เคยได้รับมาจะทำให้คณะกรรมการเห็นว่ามีศักยภาพและน่าหยิบมาพิจารณา แต่หากผลงานดังกล่าวไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับหลักสูตรที่เลือกเรียน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ข้อมูลในส่วนนี้มา เพราะทางคณะกรรมการจะพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องและสามารถเชื่อมโยงถึงเหตุผลที่เลือกเรียนหรือเป้าหมายในอนาคตที่วางเอาไว้เท่านั้น การหยิบเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาถือเป็นการเขียนนอกเรื่องและทำให้ SOP ของเราไม่น่าสนใจได้
หลีกเลี่ยงการเขียนข้อมูลที่เป็นเท็จหรือโอ้อวดเกินจริง
แม้ว่า SOP จะต้องเขียนให้มีความโดดเด่นและน่าดึงดูดมากที่สุด แต่น้อง ๆ ก็ต้องระวังเรื่องการเขียนโอ้อวดเกินจริง หรือการใส่ข้อมูลที่เป็นเท็จลงไปใน SOP ของเราด้วย เพราะหากผ่านเข้ามาถึงรอบสัมภาษณ์ แล้วคณะกรรมการถามถึงข้อมูลในส่วนนั้นก็จะทราบได้ในทันทีว่าข้อมูลที่ให้ไม่เป็นความจริงและพิจารณาให้ตกสัมภาษณ์ได้นั่นเอง
ตัวอย่างการเขียน Statement of Purpose (SOP) เข้ามหาวิทยาลัย

จะเห็นได้ว่าตัวอย่างของ SOP ด้านบนนี้จะเปิดด้วยการแนะนำตัวเองพร้อมความสนใจที่ทำให้อยากเรียนในคณะดังกล่าว ตามด้วยการพูดถึงประวัติการศึกษา ผลการเรียน กิจกรรมนอกห้องเรียนทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมอาสาที่เกี่ยวข้องกับคณะที่ต้องการศึกษาต่อรวมทั้งกล่าวถึงสิ่งที่ได้รับจากการทำกิจกรรมดังกล่าวที่ช่วยส่งเสริมให้ความสนใจเรียนในสาขานั้นเพิ่มมากขึ้น ถัดมาก็เป็นการพูดถึงเหตุผลที่เลือกเรียนที่คณะดังกล่าวโดยยกเหตุผลเรื่องวิชาการเรียนการสอนภายในหลักสูตรขึ้นมากล่าวถึงและเชื่อมโยงไปถึงเป้าหมายในอนาคต ปิดท้ายด้วยการเขียนสรุปที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการเรียนในคณะดังกล่าว
ทั้งนี้ น้อง ๆ สามารถเสริมข้อมูลเรื่องเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ยื่นสมัครเรียนเข้าไปเสริมด้วยได้ ในกรณีที่คณะหรือสาขาวิชาที่ต้องการเรียนมีการเปิดสอนมากกว่า 1 มหาวิทยาลัย เพื่อเสริมว่าเรามองเห็นศักยภาพทั้งในตัวหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนของเราไปสู่เป้าหมายในอนาคตได้
เกณฑ์ในการรับสมัครและข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย
ถ้าน้อง ๆ อยากรู้ว่ามีมหาวิทยาลัยและคณะไหนบ้างที่ต้องเขียน SOP เพื่อยื่นเข้าสมัครเรียน พี่กริฟฟินก็ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้วในตารางด้านล่างนี้เลย
มหาวิทยาลัย | คณะวิชา/สาขา | ข้อกำหนดเบื้องต้น |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | BALAC (อักษร) | ไม่เกิน 1,000 คำ (PDF เท่านั้น) |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | CommDe (ออกแบบนิเทศศิลป์) | ไม่ได้ระบุจำนวนหน้า แต่ต้องแนบไปพร้อมกับ Portfolio |
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | BJM (วารสาร) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 และต้องแนบไปพร้อม Portfolio |
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
| BAS (อังกฤษและอเมริกันศึกษา) | กำหนดความยาวไม่เกิน 3 หน้า A4 และต้องแนบไปพร้อม Portfolio (ถ้ามี) |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | BS (สื่อสารธุรกิจ) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 และต้องแนบไปพร้อม Portfolio (ถ้ามี) |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | BSI (นวัตกรรม) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 โดยแทรกอยู่ใน Portfolio (หน้าที่ 3) |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | PPE (วิทยาลัยสหวิทยาการ) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 และต้องแนบไปพร้อม Portfolio |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | CICM (แพทยศาสตร์) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 โดยแทรกอยู่ใน Portfolio (หน้าที่ 1) |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | Dentistry (ทันตแพทยศาสตร์) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 โดยแทรกอยู่ใน Portfolio (หน้าที่ 1) |
| มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | GSSE (วิทยาลัยโลกคดีศึกษา) | กำหนดความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 โดยจะต้องใช้ Font Times New Roman ขนาด 12 เท่านั้น |
นอกจากคณะที่ยกมาข้างต้นแล้ว บางมหาวิทยาลัยก็อาจมีเรียกขอ SOP ในประกาศรับสมัครด้วยเช่นกัน แนะนำให้น้อง ๆ ลองศึกษาข้อมูลการประกาศรับสมัครนิสิต/นักศึกษาในปีการศึกษาล่าสุดของแต่ละแห่งเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการสมัครเรียน
สอบติดรอบพอร์ตทันใจ ปรึกษา House of Griffin
ถ้าน้อง ๆ คนไหนไม่รู้จะเริ่มต้นเขียน SOP ยังไงให้ออกมาถูกใจคณะกรรมการ รวมถึงอยากหาที่ปรึกษาที่วางใจได้พร้อมช่วยติวเข้มภาษาอังกฤษให้แม่นเป๊ะ ทั้งการสอบ IELTS, TOEFL, SAT และคอร์สภาษาอังกฤษอื่น ๆ พร้อมรับคำแนะนำเรื่องการเขียน SOP เพื่อนำไปยื่นเข้าคณะที่ต้องการ สามารถทักมาสอบถามพี่ ๆ ทีมงาน House of Griffin ได้เลย
