Skip to content

Clause กับ Sentence แตกต่างกันอย่างไร ? เคล็ดลับพิชิต SAT Verbal หัวข้อ Boundaries

Clause กับ Sentence แตกต่างกันอย่างไร

หนึ่งในหัวข้อที่นักเรียนจะต้องเจอและกลัวกันในข้อสอบ SAT Verbal ก็คือ Boundaries ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่เกี่ยวกับการแบ่งส่วนต่าง ๆ ของประโยคตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและหลักการใช้สัญลักษณ์ Conjunctions อย่างถูกต้อง ความจริงแล้วถ้าเข้าใจพื้นฐานว่า Clause กับ Sentence แตกต่างกันอย่างไร ข้อสอบประเภทนี้ไม่ยากเลย! บทความนี้จะพาน้อง ๆ เข้าใจทั้งสองแนวคิด พร้อมเทคนิคทำข้อสอบให้ได้คะแนนเต็ม ไม่ว่าจะเป็น Independent Clause, Dependent Clause, Simple Sentence หรือ Complex Sentence ทั้งหมดจะชัดเจนใน 10 นาที!

Clause คืออะไร ?

ตามหลักไวยากรณ์แล้ว Clause คือกลุ่มคำที่ประกอบด้วย Subject (ประธาน) และ Verb (กริยา) ค่ะ ซึ่ง Subject ก็คือคำที่มักอยู่หน้าสุด เป็น Noun (คำที่บอกถึงคน สัตว์ สิ่งของ) หรือ Pronoun (คำแทนที่ noun เช่น she, he, I)

ส่วน Verb คือคำกริยาที่จะใช้บอกว่า Subject นั้นกำลังทำอะไรหรือมีสภาพเป็นเช่นไรอยู่ เช่น dance, walk, is, am, are, have เป็นต้น ดังนั้นตัวอย่างของ Clause ก็อาจจะเป็น >> I sing a song.

เพราะว่า I เป็น Subject และ sing เป็น verb เราจึงนับได้ว่ากลุ่มคำนี้เป็น clause แน่นอนค่ะ (ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ นี่ไม่นับเป็นประโยคแล้วหรือ ซึ่งก็เข้าใจถูกแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวเราจะค่อยคุยเรื่องความแตกต่างของ Sentence กับ Clause อีกทีนะคะ)

กลับกัน Clause ก็อาจจะเป็น >> After I sing a song, …

Clause นี้คล้ายกับ I sing a song. ข้างต้นเลยใช่ไหมละคะ มีทั้ง Subject และ Verb ที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นับ After I sing a song, เป็น Clause เช่นเดียวกัน ทว่า อาจจะสังเกตเห็นว่าทั้งสอง Clause นี้มีความแตกต่างกันอย่างเล็กน้อยอยู่นะคะ อย่างตรง After ที่เพิ่มขึ้นมา หรือที่สัญลักษณ์ตอนจบเป็น , (comma) แทนที่จะเป็น . (full stop) อีก

ความแตกต่างของ Clause ทั้งสองแบบนี้เองคือความแตกต่างระหว่าง Clause 2 ชนิดค่ะ

ประเภทของ Clause มีอะไรบ้าง

Clause สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ Independent Clause และ Dependent Clause

ประเภทแรก : Independent Clause หรือ Main Clause

ตามชื่อที่แปลว่า “อิสระ” นิยามของ Independent Clause คือ Clause ที่สามารถยืนได้ด้วยตนเองและมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง เราสามารถทิ้ง Independent Clause ไว้ตัวคนเดียวและจบด้วย full stop ได้เลยโดยไม่มีความหมายค้างไว้ที่จำเป็นจะต้องเอา clause อื่นมาเสริมให้สมบูรณ์แล้วค่ะ

ดังนั้น I sing a song. ก็นับว่าเป็น Independent Clause ได้เลย โดยเราสามารถเรียก Independent Clause ว่า Main Clause ได้เพราะว่าความหมายหลักของประโยคนั้น จะอยู่ที่ Main Clause จ้า

ประเภทที่สอง : Dependent Clause หรือ Subordinate Clause 

นิยามของ Dependent Clause ตรงข้ามกับ Independent Clause โดยสมบูรณ์ ในขณะที่ Independent Clause สามารถอยู่คนเดียวได้สบาย ๆ Dependent Clause จำเป็นจะต้องพึ่งพา (depend) คนอื่นค่ะ

After I sing a song, จึงนับว่าเป็น Dependent Clause เพราะว่า “หลังจากฉันร้องเพลงแล้ว…” ยังมีความหมายไม่สมบูรณ์ เราไม่สามารถพูดขึ้นมาลอย ๆ เช่นนี้แล้วจบเลยได้ แต่จำเป็นจะต้องพูดให้จบว่า แล้วฉันทำอย่างไรต่อไปหลังร้องเพลง 

ดังนั้นไม่สามารถจบ Dependent Clause ด้วย full stop หรือสัญลักษณ์อื่นที่ใช้จบประโยคทั่วไปได้ค่ะ กลับกันเรามักจะเจอสัญลักษณ์ comma มากกว่าที่ใช้คู่กับ Dependent Clause

Independent Clause กับ Dependent Clause ต่างกันอย่างไร ?

ข้อสังเกตใหญ่ ๆ เพื่อแยก Dependent Clause ออกจาก Independent Clause อีกข้อก็คือ “คำที่อยู่หน้าสุด” ค่ะ เพราะว่า Dependent Clause มักเริ่มด้วยคำส่งสัญญาณประเภทใดประเภทหนึ่งที่เชื่อมความหมายของ Dependent Clause นั้นกับ Independent Clause ที่มันพึ่งพา เช่น

1. Subordinating conjunctions

ประเภท

คำเชื่อม

บอกเวลา

when, while, after, before, since, until, once, as soon as

บอกเหตุผล

because, since, as

บอกเงื่อนไข

if, unless, provided that, as long as

บอกความขัดแย้ง

although, though, even though, while, whereas

บอกวัตถุประสงค์

so that, in order that

บอกสถานที่

where, wherever

2. Relative pronouns

  • คำที่ใช้แทนที่ Subject สำหรับ Dependent Clause
  • That, which, who, whom, whose

และด้วยความหมายที่เหมือนต้องเป็นส่วนเสริมหรือลูกน้อง (subordinate) อยู่ตลอดเวลา ทำให้ Subordinate Clause ต้องพึ่งพา Main Clause อยู่เสมอนั่นเอง

ตัวอย่าง:

  • When I woke up, my mother had already gone to work. (Dependent Clause + Independent Clause)
  • The student who studied hard passed the exam. (มี Relative Pronoun “who”)

Sentence คืออะไร ?

Sentence หรือที่เรารู้จักกันว่า “ประโยค” เป็นหน่วยคำที่ใหญ่ขึ้นมาจาก Clause อีกระดับหนึ่งและมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับ Clause มากมายด้วยค่ะ โดยข้อแรกเลยก็คือทั้ง Sentence และ Clause มี Subject และ Verb ด้วยกันทั้งคู่ แต่ Sentence จำเป็นจะต้องมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเองเท่านั้น ในขณะที่ Clause มีหรือไม่มีก็ได้

ดังนั้นทั้ง Independent Clause และ Dependent Clause ต่างเป็น Clause ทั้งคู่ แต่มีเพียงแค่ Independent Clause เท่านั้นที่นับว่าเป็น Sentence

ถึงอย่างไรก็ตาม นิยามของ Sentence มีมากกว่านั้น เพราะแม้ว่า Sentence จำเป็นจะต้องมี Independent Clause อย่างน้อย 1 อัน ใน Sentence หนึ่งสามารถมีได้มากกว่านั้นค่ะ

ประเภทของ Sentence มีอะไรบ้าง

Sentence สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Simple Sentence, Compound Sentence และ Complex Sentence

ประเภท Sentence

โครงสร้าง

ตัวอย่าง

Simple Sentence

1 Independent Clause

I want to be an actor.

Compound Sentence

2+ Independent Clauses

My mother went to work, and my father went to the gym.

Complex Sentence

1 Independent Clause + 1+ Dependent Clauses

When I woke up, my mother had already gone to work.

  • Simple Sentence

โครงสร้าง : [1 Independent Clause]

ประเภทประโยคที่ง่ายที่สุดก็คือ Simple Sentence เนื่องจากส่วนประกอบมีเพียงแค่ Independent Clause อันเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น

ตัวอย่าง : I want to be an actor!

จะเห็นว่าประโยคนี้เป็น Simple Sentence เนื่องจากมี Subject และ Verb อย่างละหนึ่งเท่านั้น

ในบางครั้ง Simple Sentence อาจจะดูยาวและซับซ้อนเนื่องจากมีคำขยายมาก แต่ตราบใดที่มีเพียงแค่ Subject + Verb คู่เดียวก็ยังนับว่าเป็น Simple Sentence ค่ะ เช่น

The quiet determination of the young historian inspired the weary professor.

แท้จริงแล้ว Subject ในประโยคนี้มีอันเดียวคือ The quiet determination of the young historian และ Verb ก็คือ inspired จึงนับว่าเป็น Simple Sentence แม้ว่า Subject และ Object จะมีคำขยายมากมายก็ตามค่ะ

  • Compound Sentence

โครงสร้าง : [Independent Clause + Independent Clause]

สำหรับประเภท Compound Sentence จำเป็นจะต้องประกอบด้วย Independent Clause อย่างน้อย 2 อันขึ้นไป (และแน่นอนว่ามีมากกว่านั้นได้) เช่น

ตัวอย่าง :

My mother went to work, and my father went to the gym.

ใน Independent Clause แรกของประโยคมีคู่ Subject + Verb คือ My mother + went ส่วนใน Independent Clause ที่สองมีคู่ Subject + Verb คือ My father + went ดังนั้นประโยคนี้จึงนับว่าเป็น Compound Sentence นั่นเอง

  • Complex Sentence

โครงสร้าง : [1 Independent Clause + Dependent Clause(s)]

Complex Sentence ประกอบด้วย Independent Clause หนึ่งอัน และ Dependent Clause อย่างน้อยหนึ่งอัน (มากสุดกี่อันก็ได้) ค่ะ เช่น

ตัวอย่าง :

When I woke up, my mother had already gone to work.

ประโยคนี้ประกอบไปด้วย Dependent Clause หนึ่งอันคือ When I woke up, (คำเชื่อม = When, Subject = I, Verb = woke up) และ Independent Clause หนึ่งอันเช่นเดียวกันก็คือ my mother had already gone to work. (Subject = my mother, Verb = had…gone)

ถึงอย่างไรก็ตาม แม้เราจะแบ่งประเภทของประโยคออกเป็น 3 ประเภทเช่นนี้ ประโยคที่เจอได้อาจเป็นประเภทแบบผสมผสานได้เช่นกัน เช่น

Although the storm had finally passed, the streets were still flooded with rainwater, and the townspeople, who had spent the night in the church, emerged cautiously to see what was left of their homes.

สำหรับประโยคนี้ มี Independent Clause 2 อัน ได้แก่ the streets were still flooded with rainwater และ the townspeople…emerged cautiously to see what was left of their homes. (แบบ Compound Sentence)

มี Dependent Clause อีก 2 อัน ได้แก่ Although the storm had finally passed, และ , who had spent the night in the church, (แบบ Complex Sentence) ดังนั้นประโยคนี้จึงนับเป็น Complex Compound Sentence นั่นเอง

สามารถอ่านบทความเคล็ดลับการใช้ Complex Sentence และ Vocabulary ระดับสูงได้ที่ คลิก

วิธีเชื่อม Clause และ Sentence อย่างถูกต้อง (Conjunctions)

หลังจากที่ได้รู้ประเภทของ Sentence แต่ละประเภทไปแล้ว ถัดไปเราก็ต้องมาดูวิธีการใช้สัญลักษณ์ Conjunction ในการเชื่อมและแบ่ง Sentence แต่ละประเภทกันค่ะ

การจบ Sentence

สำหรับการจบ Sentence นั้น Conjunction ที่เราคุ้นเคยที่สุดคงเป็นอะไรอื่นไม่ได้อีกนอกจาก Full Stop นั่นเอง แต่ความจริงแล้วมี Conjunction อื่นๆ ที่ใช้จบประโยคได้เช่นกัน ดังนั้น Conjunction ที่จบประโยคได้ได้แก่

  • . (full stop)
  • ; (semicolon)
  • : (colon)

การเชื่อมภายใน Sentence

เมื่อประโยคหนึ่งประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ เช่น มีหลาย Clause เราจำเป็นจะต้องใช้ Conjunction ที่ต่างกันสำหรับประโยคแต่ละประเภทค่ะ

ประเภทที่ 1 : Compound Sentence

ระหว่าง Independent Clause 2 อัน เราจำเป็นจะต้องใช้ Comma ร่วมกับ Coordinating Conjunction ค่ะ

Coordinating Conjunction คือคำที่เชื่อมระหว่างวัตถุที่มีน้ำหนักและความสำคัญเท่ากัน จึงไม่แปลกที่ใช้เชื่อม Main Clause ที่สำคัญทั้งคู่เข้าด้วยกัน โดย Coordinating Conjunction ได้แก่

  • For
  • And
  • Nor
  • But
  • Or
  • Yet
  • So

ดังนั้นจึงมักท่องกันว่าเป็นคำเชื่อม FANBOYS นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น

  • My mother went to work, and my father went to the gym.
  • My best friend loves hiking, but I totally hate it.
  • We woke up late, so we were late for work.

ที่สำคัญคือห้ามลืมใช้ Comma ร่วมกับ FANBOYS เด็ดขาดนะคะ หากขาดตัวใดตัวหนึ่งไป จะไม่สามารถเชื่อม Independent Clause 2 อันเข้าด้วยกันได้ค่ะ

ประเภทที่ 2 : Complex Sentence

หากเราจะเชื่อม Dependent Clause กับ Independent Clause (หรือกับ Dependent Clause ด้วยกันเองก็ได้) เราต้องใช้ Comma ค่ะ เช่น

  • When I woke up, my mother had already gone to work.

ทว่าหากสลับที่ เอา Dependent Clause ไปอยู่ด้านหลัง Independent Clause ไม่จำเป็นจะต้องมี Comma นะคะ เพราะว่าถือว่าคำเชื่อมหน้า Dependent Clause ทำหน้าที่พอแล้วค่ะ เช่น

  • My mother had already gone to work when I woke up.

ประเภทที่ 3 : Sentence ที่มีส่วนขยายอื่น

บางครั้ง Sentence ของเราก็อาจมีส่วนขยายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Clause ก็ได้ค่ะ เช่น คำเชื่อมแบบ Conjunctive Adverb หรือ วลีที่ทำหน้าที่เป็น Modifier ต่าง ๆ โดยในเมื่อคำพวกนี้ไม่นับเป็น Independent Clause เราก็ใช้ Comma หรือ Em Dash หรือไม่ต้องใช้สัญลักษณ์อะไรเลยค่ะ

ตัวอย่างเช่น

  • I walked to the school, thinking I had plenty of time every morning.

ใน Sentence นี้ มี I walked to the school เป็น Independent Clause และ thinking I had plenty of time every morning เป็น Modifier ที่ใช้ขยายความหมายของ Independent Clause เพิ่มเติม ซึ่งถ้าเราสังเกตดู ไม่นับเป็น Clause เพราะว่าไม่มี Subject ค่ะ

นอกจากนี้ บางครั้งเรามักเห็นคำ Transition ที่ใช้เชื่อมความหมายระหว่าง 2 ประโยค เช่น However, Therefore ซึ่งเราต้องใช้ Comma ขั้นออกจากส่วนอื่น ๆ ของประโยค เช่น

  • I don’t think I’m that good at soccer. Therefore, I’m not joining the team.
  • I don’t think I’m that good at soccer. I, therefore, am not joining the team.

ส่วน Em Dash (–) สามารถใช้เชื่อมส่วนขยายเช่นเดียวกันกับ Comma เลย เช่น

  • My brother, a doctor, knew everything about medicine.
  • My brother–a doctor–knew everything about medicine.

จะเห็นว่าทั้งสองประโยคมีส่วนขยาย a doctor ซึ่งมอบความหมายเพิ่มเติมให้ Subject (My brother) ทั้งคู่ และสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองแบบเลยค่ะ

แต่ส่วนขยายหรือคำขยายบางอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ Conjunction ใด ๆ มาคั่นนะคะ เช่น wherever, whenever, คำบอกช่วงเวลาอย่าง today เป็นต้น

3 เทคนิคทำข้อสอบ SAT Verbal หัวข้อ Boundaries

Step 1: แบ่งประโยคออกเป็น 2 ส่วน (หน้า-หลัง) ที่ตำแหน่ง Conjunction ในแต่ละ Choice

Step 2: ตรวจสอบว่าแต่ละส่วนเป็น Independent Clause หรือไม่

  • มี Subject + Verb และความหมายสมบูรณ์ = Independent Clause 
  • ไม่มี Subject หรือ Verb หรือความหมายไม่สมบูรณ์ = ไม่ใช่ Independent Clause 

Step 3: เลือก Conjunction ที่เหมาะสม

  • 2 Independent Clauses → ใช้ . ; : หรือ , FANBOYS
  • Dependent + Independent → ใช้ comma (ถ้า Dependent อยู่หน้า)
  • ส่วนขยายที่ไม่ใช่ Clause → ใช้ comma หรือไม่ใช้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับบริบท

ตัวอย่างโจทย์ประเภท Boundaries ในข้อสอบ SAT Verbal

หลังจากที่ได้ดูวิธีการแบ่ง Clause และ Sentence เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะดูว่าจะนำไปปรับใช้ในข้อสอบ SAT Verbal เช่นไรแล้วค่ะ

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างโจทย์ประเภท Boundaries ในข้อสอบ SAT Verbal ข้อที่ 1

เวลาที่เราเจอข้อสอบแบบ Boundaries เช่นนี้ ขั้นตอนที่ 1 เลยก็คือดูประโยคส่วนหน้าและส่วนหลัง (โดยแบ่งที่บริเวณที่ conjunction ปรากฏในแต่ละ choice) ก่อน (ดูจนสิ้นสุดประโยคนั้นเลยนะคะ) ว่าทั้งสองฝั่งมี Independent Clause แล้วหรือไม่

  • He was instrumental in organizing the Pueblo Revolt of 1680 เป็น Independent Clause
  • (And) As a result of his leadership, ไม่ใช่ Independent Clause แต่
  • The Spanish colonizers were expelled from the region for a time. เป็น Independent Clause

ดังนั้นในเมื่อข้อนี้มี Independent Clause ทั้งส่วนหน้าและหลังแล้ว เราก็ต้องเลือก Conjunction ที่เป็นไปได้ โดยมี 2 ทางเลือกได้แก่

  1. เชื่อมเข้าด้วยกันในประโยคเดียว ให้กลายเป็น Compound Sentence ด้วย , FANBOYS
  2. แยกทั้งสองประโยคออกจากกันด้วย . ; : 

คำตอบในข้อนี้จึงเป็นข้อ D. 1680, and ค่ะ

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างโจทย์ประเภท Boundaries ในข้อสอบ SAT Verbal ข้อที่ 2

สำหรับในข้อนี้เมื่อทำตามขั้นตอนที่ 1 แล้ว เราก็จะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม making it one of the largest cities in North America at the time ก็ไม่ใช่ Independent Clause เนื่องจากไม่มี Subject ดังนั้นก็ไม่สามารถตอบข้อ B หรือ D ได้เนื่องจากหากจบประโยคที่ CE จะบังคับให้ making it one of the largest cities in North America at the time ยืนด้วยตัวคนเดียว ซึ่งผิดหลักเพราะไม่ใช่ Independent Clause ค่ะ

ระหว่างข้อ A และ C เราก็ต้องตัดสินใจว่าเป็นส่วนขยายที่ต้องการ Comma หรือไม่ และในข้อนี้ จำเป็นต้องใช้ Comma เพราะว่าเป็น Modifier ที่ขึ้นต้นด้วย V.inh และละ Subject ไว้ จำเป็นจะต้องใช้ Comma มาคั่น จึงตอบ C ค่ะ

ฝึกเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพื่อคว้าคะแนน SAT Verbal หมวด Boundaries ให้ง่ายขึ้น

สุดท้ายนี้เมื่อได้อ่านบทความนี้จบแล้วก็หวังว่าจะเข้าใจมากขึ้นว่า Clause กับ Sentence แตกต่างกันอย่างไร รวมถึงรู้วิธีทำข้อสอบ SAT Verbal หมวด Boundaries มากขึ้นด้วยนะคะ หากรู้สึกว่าเนื้อหาเยอะและจำได้ไม่หมดก็ไม่ต้องกลัวค่ะ เราสามารถทบทวนทีละนิดจนกว่าจะจำได้ทั้งหมด แล้วรับรองเลยค่ะว่าทุกคนจะสามารถพิชิตข้อสอบ Boundaries ได้อย่างแน่นอน

House of Griffin เปิดสอนคอร์สติว SAT โดยครูผู้เชี่ยวชาญที่จะพาคุณฝึกทำโจทย์จริง วิเคราะห์เทคนิคเฉพาะ และเพิ่มทักษะการอ่าน-เขียนให้แข็งแกร่ง พร้อมคว้าคะแนนเต็มในทุกหัวข้อ!

Share this article
ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวง